#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้เฉพาะหน้า หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ใช้คำภาวนาตามที่เราถนัดมาแต่ดั้งเดิม
เรื่องของคำภาวนาขอย้ำว่าอย่าเปลี่ยนบ่อย เพราะถ้าเราเปลี่ยนคำภาวนา สภาพจิตที่ไม่เคยชินก็จะทำให้รวมตัวได้ยาก ถ้าเปลี่ยนบ่อย ๆ ก็จะไม่สามารถทรงสมาธิได้อย่างที่ต้องการ ท่านที่จะเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ๆ ได้ก็คือ ทำกรรมฐานกองเก่าจนขึ้นเต็มที่แล้ว เห็นผลแล้วค่อยเปลี่ยนคำภาวนา จึงจะสมควร วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ระยะนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่เป็นมหามงคลของประเทศ ก็คือวโรกาสที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเจริญพระชนมายุได้ ๑๐๐ พรรษาพอดี เมื่อวานซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ท่าน ก็มีการบำเพ็ญกุศลถวายกันทั่วประเทศ วัดท่าขนุนก็ได้ร่วมกับทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ จัดให้มีการทำบุญใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ ๑๐๙ รูป เพื่อถวายเป็นพระกุศล เราจะเห็นได้ว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกนั้น พระองค์ท่านเป็นที่รัก เป็นที่เคารพเลื่อมใส เป็นที่เชื่อมั่น ทั้งในวงการคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ในวงการคณะสงฆ์ พระองค์ท่านได้รับการยกย่องเป็นผู้นำสงฆ์สูงสุดของโลก ส่วนในบ้านเรานั้น ทุกคนทราบว่าพระองค์ท่านมีวัตรปฏิบัติที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมกับเป็นพระสุปฏิปันโนอย่างยิ่ง องค์สมเด็จพระสังฆราชของเรานั้น พระองค์ท่านบรรพชาและอุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม หรือวัดเหนือ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีพระอุปัชฌาย์ก็คือหลวงปู่ดี วัดเหนือ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งที่พระครูอดุลสมณกิจ เมื่อพระองค์ท่านมีสุดยอดพระเกจิอาจารย์ของจังหวัดกาญจนบุรีเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงได้ร่ำเรียนในเรื่องของกรรมฐานไว้อย่างช่ำชองยิ่ง แม้กระทั่งเมื่อตำแหน่งทางการคณะสงฆ์สูงขึ้น ๆ พระองค์ท่านก็ยังปลีกเวลามาเจริญกรรมฐานเป็นปกติ นอกจากเจริญกรรมฐานจนมีความชำนาญคล่องแคล่วแล้ว พระองค์ท่านยังนิพนธ์ตำรับตำราเกี่ยวกับการปฏิบัติเอาไว้มาก แม้แต่อาตมาเองก็กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นลูกศิษย์ที่เรียนกรรมฐานจากพระองค์ท่าน ตั้งแต่สมัยยังเป็นสมเด็จพระญาณสังวร เนื่องจากว่าช่วงนั้นอาตมภาพเอง คลุกคลีตีโมงอยู่กับหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ในสายของหลวงปู่มั่น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าพระธรรมยุต โดยเฉพาะหลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส ซึ่งท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชของเราในสมัยนั้น ท่านก็ไปขอศึกษาในเรื่องของการปฏิบัติธรรม จากครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น สายวัดป่าอยู่เสมอ ๆ อาตมาเองจึงได้มีโอกาสศึกษาอสุภกรรมฐานจากพระองค์ท่าน โดยเฉพาะที่ทรงสอนให้ก็คือ อัฏฐิกอสุภ กระดูก ๓๐๐ ท่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2013 เมื่อ 05:22 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถ้าญาติโยมหลายท่านที่เคยฟังอาตมาบรรยายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ซึ่งกล่าวถึงว่าเมื่อร่างกายของเราเปื่อยสลายหมดแล้ว เหลือแต่สภาพโครงกระดูก ไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงปลายเท้า จากปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ ประกอบกันขึ้นมาแล้วปล่อยให้สลายตัวลงไป สลายตัวลงไปแล้วประกอบขึ้นมาใหม่ ลักษณะเป็นอนุโลมปฏิโลมอย่างนี้ กล่าวถึงกระดูกแต่ละชิ้นแต่ละส่วนอย่างชัดเจน ขอให้ทุกท่านได้ทราบว่า อัฏฐิกอสุภกรรมฐานนี้ อาตมภาพเรียนมาจากพระอาจารย์ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รูปนี้เอง
ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ร่ำเรียนกรรมฐานจนสามารถใช้งานได้อย่างคล่องแคล่วเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ท่านมีพระจริยวัตรอ่อนโยนนุ่มนวล ถ่อมพระองค์อยู่เสมอ แต่ว่าเมื่อถึงคราวฉุกเฉินขึ้นมา ความสามารถทางด้านนี้ของพระองค์ท่านก็สำแดงออกอย่างชัดเจน เมื่อครั้งที่ไฟไหม้ชุมชนข้างวัดบวรนิเวศน์วิหารในปี ๒๕๓๔ พระองค์ท่านกำลังประทับอยู่ยังกุฏิที่พัก คือพระตำหนักคอยท่าปราโมช ซึ่งปัจจุบันก็ต้องเรียกว่าตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ทางด้านพระอุปัฏฐากเข้ามาแจ้งพระองค์ท่าน ซึ่งกำลังเจริญพระกรรมฐานอยู่พอดีว่า ให้โยกย้ายไปหลบอยู่ที่ศาลา ๑๕๐ ปีก่อน เพราะว่าไฟไหม้รุนแรงมากอยู่ที่ชุมชนบวรรังษีข้างวัดนี่เอง มีสิทธิ์ที่จะลามข้ามมาถึงในวัดด้วย ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชในสมัยนั้น รับฟังรายงานด้วยอาการสงบ แทนที่จะเสด็จไปหลบตามที่ได้รับคำแนะนำ พระองค์กลับเสด็จขึ้นไปยังอาคาร สว.ธรรมนิเวศ ที่ถือว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดของวัดบวรนิเวศวิหาร สามารถเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงที่ข้างวัดได้ชัดเจนที่สุด พระองค์ท่านสำรวมพระกริยานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อลืมพระเนตรขึ้นมาก็ยกพระหัตถ์ขึ้นโบก ท้องฟ้าที่แจ่มใสอยู่ ๆ ก็ฝนตกลงมาอย่างหนักทันทีทันใด ฝนตกหนักถึงขนาดว่า ทางรถดับเพลิงใช้รถดับเพลิงหลายคันช่วยกันดับไฟ ยังไม่สามารถที่จะดับไฟได้ แต่ฝนที่ตกด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสังฆราช ดับไฟลงอย่างสนิทราบคาบ ถึงขนาดหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเอาไปลงพาดหัวข่าวว่า “อัศจรรย์บารมีสังฆราช เพ่งกสิณไฟสลัมดับทันตา”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2013 เมื่อ 05:24 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ซึ่งเรื่องพวกนี้เราจะเห็นได้ว่า การที่พระองค์ท่านปฏิบัติกรรมฐานมา โดยมีสุดยอดครูบาจารย์รูปหนึ่ง ก็คือหลวงปู่ดี วัดเหนือ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีชื่อเสียงเคียงคู่มากับหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ จังหวัดกาญจนบุรี ในยุคนั้นทั้ง ๒ ท่านมีชื่อเสียงควบคู่กันมาตลอดทั้งวัดเหนือและวัดใต้ ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า ถ้าอยากเจ้าชู้ต้องไปวัดเหนือ ถ้าอยากเป็นเสือต้องไปวัดใต้ เนื่องจากว่าหลวงปู่ดี วัดเหนือนั้น ปฏิบัติธรรมแล้วเปี่ยมไปด้วยเมตตาจิต วัตถุมงคลทุกอย่างของทางวัดเหนือจึงออกไปทางเมตตามหานิยม
หลังจากนั้นพระเดชพระคุณสมเด็จพระสังฆราชก็ยังได้ศึกษากรรมฐานจากครูบาจารย์สายหลวงปู่มั่น หลายต่อหลายรูปด้วยกัน พระองค์ท่านจึงได้สามารถปฏิบัติกรรมฐานได้อย่างช่ำชอง และใช้งานได้จริง จนกระทั่งกลายเป็นที่ประจักษ์ตาของสาธารณชนเช่นนั้น ที่นำเรื่องนี้มากล่าวเนื่องจากว่า เป็นวโรกาสสำคัญอันเป็นมงคลยิ่ง ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกของเรา เจริญพระชันษาครบ ๑๐๐ ปี ซึ่งนับไปแล้วก็เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก และพระองค์เดียวของประเทศไทยเรา ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ที่มีอายุกาลผ่านวัยมาจนถึง ๑๐๐ ชันษา ยังไม่เคยปรากฏมีมาก่อน และขณะเดียวกัน พระองค์ท่านก็เป็นตัวอย่างอันดียิ่งแก่พวกเราว่า งานการคณะสงฆ์ของพระองค์ท่านนั้นล้นมืออยู่เสมอ ในเมื่องานการคณะสงฆ์นั้นมากมายมหาศาล แต่พระองค์ท่านยังปลีกเวลามาเจริญกรรมฐานโดยไม่ยอมละทิ้ง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องสังวรไว้ว่า เราเองหน้าที่การงานไม่ได้หนักอย่างพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้น..จะอ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้ เพราะว่ากรรมฐานนั้น ถ้ามีโอกาสควรจะสละเวลาปฏิบัติอย่างเต็มที่เต็มกำลังของเรา ถ้าไม่มีโอกาสก็ใช้การประคับประคองรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องในระหว่างวัน การปฏิบัติของเราจึงจะก้าวหน้า สมดังที่ทุกคนตั้งใจไว้ สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจกำหนดลมหายใจเข้าออก ตลอดจนคำภาวนา หรือกำหนดภาพพระตามอัธยาศัย โดยเฉพาะอย่าลืมว่า เรามีตัวอย่างที่ดีเลิศ ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งพระองค์ท่านปฏิบัติกรรมฐานจนสามารถใช้งานจริงได้ อย่างที่ปรากฏดังที่ได้กล่าวมา เราเองก็ต้องปฏิบัติกรรมฐานเพื่อให้ใช้งานจริงได้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกับพระองค์ท่านด้วย ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2013 เมื่อ 03:51 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สามารถรับชมได้ที่
http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-10-04 ป.ล. - สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้ - ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด ! |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
สุธรรม (23-02-2014)
|
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|