|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์กล่าวว่า “งานทำบุญฉลองบ้านวิริยบารมีครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๕ แล้ว พักเดียวเท่านั้นก็ ๕ ปีผ่านไป ถ้านับวันทำบุญยกเสาเอกก็ครั้งที่ ๖ เข้าไปแล้ว
บ้านนี้สร้างเมื่อปี ๒๕๕๓ ค่าที่ดิน ๒๔๐ ตารางวา ๑๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ค่าก่อสร้าง ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมแล้ว ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถ้วน ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:54 |
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเคยสร้างรูปหล่อสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ไปรุ่นหนึ่ง ๕,๕๐๐ องค์ ไม่น่าเชื่อว่าถึงปัจจุบันนี้ไม่มีหลุดออกตลาดมาเลย แสดงว่าคนได้ไปนี่อมได้สนิทมาก ก็เลยตั้งใจจะสร้างอีกรุ่นหนึ่ง กะว่ามีเนื้อทองไม่กี่องค์ เนื้อเงินสักสองพันองค์ แล้วก็ชุบทองพ่นทรายสักสามพันองค์ เตรียมเงินไว้บูชากันได้
ตอนนี้มอบหมายให้ พระมหานันทวัฒน์ หรือหลวงพี่มหาเอของเรา ไปดูแลแล้วก็จัดการให้ ถ้าใครต้องการเนื้อทองคำเตรียมทองคำแท่งไว้ ๓ บาท เพราะว่าเนื้อทองคำจากต้นแบบที่ออกมานั้น ๒๗ กรัมเศษ ๆ เกือบ ๒ บาทเต็ม คาดว่าจะสร้างสัก ๑๐๐ องค์เท่านั้นแหละ ส่วนเนื้อเงินองค์ละน่าจะไม่เกินสามพันบาท”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:55 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านที่ถวายเงินหรือทองคำมาร่วมหล่อพระวันนี้ แล้วมาไม่ทันพิธี ปีหน้าอาตมาจะหล่อรูปหล่อหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เนื่องจากในวาระที่ท่านครบ ๑๐๐ ปีเกิด แล้วที่แน่ ๆ ก็จะต้องมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานด้วย ฉะนั้น..ยังสามารถใช้เงินหรือทองคำนี้ไปหล่อพระได้อีกยกหนึ่ง”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:57 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ยังไม่มีโอกาสลงรูปพระประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ที่หล่อไปเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ พระประธานยิ้มสวยมาก งานนี้เกิดจากการดำเนินงานของพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอของพวกเรา ท่านไปติดต่อท่านอาจารย์สุชาติที่ถือว่าเป็นนักปั้นพระพุทธรูปมือหนึ่งให้ช่วยปั้นแบบให้ แล้วไปหาช่างตุ้มที่ท่านอาจารย์สุชาติไว้วางใจ ให้มาช่วยหล่อให้ด้วย”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:58 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับท่านที่จะจองสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ ใครที่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าขนุนให้รีบสมัคร ใครที่สมัครแล้วไม่ยืนยันตัวตน ทำให้ไม่สามารถลงกระทู้ได้ ให้รีบทำการยืนยันตัวตนด้วย ไม่อย่างนั้นถึงเวลาสมเด็จองค์ปฐมออกมา พวกเราจะไม่สามารถบูชาได้เหมือนคนอื่นเขา
ระยะหลังที่อาตมาต้องจำกัดยอดไว้ว่าไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ เพราะมีหลายคนตั้งใจหากินกับวัตถุมงคลวัดท่าขนุนโดยเฉพาะ อย่างเช่นว่าบูชาตะกรุดไป ๕,๐๐๐ บาท ก็ไปปล่อยในเว็บ ๑๐,๐๐๐ บาท อาตมาไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่ารู้จักทำมาหากิน แต่สงสารคนที่รับช่วงไปว่าได้ของแพงโดยใช่เหตุ ไปสมัครเข้าเว็บไว้ ได้ของราคาจากวัดจะดีกว่า แบบเดียวกับมีดหมอเพชราวุธทางวัดออกราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ไปขายใบจองราคา ๗๕,๐๐๐ บาทบ้าง ๘๐,๐๐๐ บาทบ้าง ท้ายสุดเอามีดหมอไปออกสองแสนบาทก็ดันมีคนบูชาไปอีก ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยจริง ๆ ก็แสดงว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าในเว็บวัดท่าขนุนราคาแค่ ๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:59 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระ โดยเฉพาะหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งอาตมาก็ตาม มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ บรรดาลูกศิษย์จำนวนหนึ่งมักจะต้องการเสนอหน้าให้คนอื่นเห็นว่าใกล้ชิด มีสิทธิพิเศษมากกว่าใคร ขอยืนยันว่าวัดท่าขนุนไม่มี ถ้าใครอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด มีสิทธิพิเศษ ก็ช่วยจามมะเหงกพิเศษ ๆ ให้เขาด้วย..! เพราะว่าพอถึงเวลาแล้วกลายเป็นสร้างความแตกแยกไป ว่าคนโน้นเป็นคนใกล้ชิด คนนี้เป็นคนห่าง
ในสายตาของพระ ท่านให้การสงเคราะห์ทุกคนเสมอหน้ากัน แต่ว่าบางท่านอาจจะมีความคล่องตัวเฉพาะในบางอย่าง ซึ่งต้องเรียกใช้ในด้านนั้นอยู่ ขอบอกว่าโปรดอย่าอิจฉาเขา เพราะถ้าต้องทำเองแล้วจะเหนื่อยรากเลือด..! เห็นเขาได้ทำเราก็ยกมือโมทนาสาธุ....กูไม่ช่วยมึงหรอก หมดเรื่องหมดราวไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วพอถึงเวลาก็จะมีการนินทาว่าร้าย จิกกัดกันเป็นปกติ ซึ่งไม่น่าจะเป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม อาตมาเองฟังจนเบื่อ และสงสัยว่าเมื่อไรจะเลิกจิกกัดกันเสียที การสร้างวจีกรรมนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก การนินทาว่าร้ายคนอื่นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ บาลีท่านว่า นินทา ปสังสา การนินทาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราทำเมื่อไรก็เท่ากับสร้างกรรมให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็สร้างกรรมให้แก่คนรอบข้างไปด้วย เพราะว่าไปสร้างความมัวหมองให้เกิดขึ้นในใจของเขา มองเห็นคนนั้นเป็นศัตรู เห็นคนนี้เป็นคนที่เพื่อนเราไม่ชอบหน้า เราก็พลอยไม่ชอบไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:01 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"ยิ่งยุคนี้สมัยนี้มีเฟซบุ๊ก มีไลน์ ถึงเวลาเราก็ส่งต่อกันไปในพริบตาเดียว หรือไม่ก็ขึ้นสเตตัส กลายเป็นประจานตัวเองเสียเปล่า ๆ ว่ากำลังใจของเราแย่มาก ถึงยังว่าร้ายคนอื่นเขาอยู่ ถ้าใครรู้ตัวแล้วก็ให้เลิกความประพฤตินี้เสีย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่โทษสถานเดียว พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นวาจาที่ไม่ควรกล่าว
หลายคนก็มาพูดเข้าหูอาตมาว่า คนโน้นนินทาว่าอย่างนี้ โดนคนนั้นกัดมาอย่างนั้น ซึ่งความจริงถ้าเราดูย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น เราก็เคยนินทาเขาเอาไว้แบบนั้น เคยกัดเขาเอาไว้แบบนั้น แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าทำเอามันปากไปเรื่อย พอตัวเองมาโดนเข้าถึงได้รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเพราะเคยทำมาอย่างนั้น กลับไปมองว่าคนโน้นทำไม่ดีกับเรา คนนี้ทำไม่ดีกับเรา ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา ตั้งหน้าตั้งตาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น ถ้าสามารถทรงความดีเอาไว้ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ ห่างไกลออกไป แล้วท้ายที่สุดถ้าเรามีกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ ทำทุกอย่างด้วยความหวังดีปรารถนาดีต่อคนอื่น ก็จะไม่มีใครมานินทาว่าร้ายเราอีก แต่ก็ไม่แน่หรอก อย่างที่โบราณท่านว่าไว้ว่า “แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:02 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"หลวงพ่อพระพุทธชินราชท่านนั่งอยู่ของท่านสบาย ๆ อยู่โบสถ์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกโน่น ใคร ๆ ก็ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปยืนมองซ้ายมองขวาดูรอบหนึ่ง แล้วท้ายสุดก็บอกว่า “ก็สวยอยู่หรอก เสียอย่างเดียว..พูดไม่ได้” คิดดูก็แล้วกันว่านินทาท่านจนได้
ฉะนั้น เมื่อเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราให้ดี ถ้าเรายังไม่สามารถละการนินทาว่าร้ายคนอื่นเขาได้ ยังมีการจิกการกัด การนินทากันเป็นปกติอยู่ ขอให้รู้ว่าเรายังมีความเลวอยู่มาก รู้แล้วพยายามละยังถือว่าพอเป็นคนดีได้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ละแต่ทำไปเรื่อยถือว่าเลวมาก..! แม้กระทั่งโทษทัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่เราละเมิดในศีลในธรรม ท่านก็ถือว่าการ “รู้แล้วขืนทำ” เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด โดยเฉพาะในหมู่คณะของพวกเรา ถ้าหากว่ามีการนินทาว่าร้ายกัน ก็จะก่อให้เกิดการแตกสามัคคีขึ้นมา อย่าลืมพระบาลีที่ว่า สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความสามัคคีของหมู่คณะช่วยก่อให้เกิดสุข แต่ถ้าหมู่คณะแตกแยกก็ย่อมเกิดทุกข์ โดยเฉพาะบุคคลที่ต้องคอยประสานหมู่คณะเข้าด้วยกัน ท่านจะทุกข์ใจมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-04-2015 เมื่อ 14:02 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"ในบรรดาคณะศิษย์ของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ต่าง ๆ นั้น เราจะเห็นว่าจับกันเป็นหมู่คณะ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แต่ถึงจะเป็นกลุ่มก็ขอให้กลุ่มที่เหนียวแน่นและรู้จักเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นแค่ห่วงเฉย ๆ ไม่ว่าจะเป็นห่วงเหล็ก ห่วงทองเหลือง ห่วงทองแดงอะไรก็ตาม ใช้งานได้จำกัด แต่ถ้าเรารู้จักเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นด้วยความรักความสามัคคี จากห่วงก็จะกลายเป็นโซ่ ยิ่งยาวเท่าไรก็ยิ่งใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ทำให้แตกความสามัคคีได้ง่ายที่สุด ก็คือเรื่องของวาจา โดยเฉพาะบางคนที่พูดไม่เคยคิด พอคนอื่นว่าคืน ถึงรู้สึกตัวแต่ก็ยังละไม่ได้ ก็ต้องทนลำบากสร้างวจีกรรม มโนกรรมกันต่อไป ซึ่งมีแต่จะผูกเวรผูกกรรมกันไปนับชาติไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนั้น เรารู้แล้วว่าสาเหตุของความแตกความสามัคคีในหมู่คณะคืออะไร สาเหตุที่คนอื่นเขานินทาว่าร้ายเราคืออะไร โดยเฉพาะบุคคลที่ทำงานสนองงานต่าง ๆ โอกาสที่จะรอดการนินทานั้นไม่มี อย่างไรเสียก็ต้องเป็นขี้ปากของบรรดาบุคคลที่กำลังใจต่ำ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าคนเรากำลังใจแค่ไหนก็คิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ในเมื่อกำลังใจของเขาต่ำ ถ้าหากว่าเขานินทาว่าร้าย พูดไม่ดีถึงเรามา แทนที่จะโกรธจะเคืองก็สงสารเขาเถอะ ประเภทนั้นยังเกิดอีกนาน ถ้าเกิดอีกนานก็แปลว่าทุกข์อีกนาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:05 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"เรารู้ตัวแล้วเราก็ละก็วางเสีย พยายามแผ่เมตตา ให้อภัยเป็นปกติ นอกจากจะช่วยเชื่อมความสามัคคีในหมู่คณะ เพราะมีกาย มีวาจา มีใจที่เยือกเย็น ไม่ถือโทษโกรธเคืองคนอื่นแล้ว ยังทำให้ตัวเราได้รับการปฏิบัติขัดเกลากาย วาจา ใจ ให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายที่สุดเมื่อกาย วาจา ใจของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยพร้อมมูล เราก็จะกลายเป็น คนเหนือโลก ก็คือ บุคคลที่ไม่ต้องข้องแวะกับกิเลสต่าง ๆ อีกแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติของพวกเราทุกคน
เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็โปรดระมัดระวังไว้ด้วย สมัยก่อนอาตมาพยายามแก้ไขเรื่องปาก แก้เท่าไรก็แก้ไม่ทันเพราะปากไวกว่าสติ ท้ายสุดก็เลยต้องเอาเหรียญหลวงปู่ปานมาอมไว้ในปาก พอขยับปากก็รู้ตัวว่านี่เราต้องรักษาศีล ๕ หรือรักษากรรมบถ ๑๐ ก็จะมีสติระลึกได้ แล้วก็ระงับยับยั้งไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีทางวาจานั้น ๆ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อาตมาเคยทำมาแล้ว ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครจะลองอมเหรียญของอาตมาก็ได้ โดยเฉพาะเหรียญพุทธบารมี ๙ เซนติเมตร รับประกันว่าได้ผลแน่นอน...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-04-2015 เมื่อ 15:29 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่เอาพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมมาถวายอาตมา ถ้าตั้งใจนึกถึงท่านเป็นอนุสติก็ได้ แต่ถ้าถามว่าแท้ไหม ? ขอยืนยันว่า “ปลอมแท้ ๆ จ้ะ” ถ้าอยากได้ ที่ท่าพระจันทร์นี่เอารถสิบล้อไปขนได้เลย อะไรที่ตลาดเริ่มต้องการ เขาก็จะแห่ทำกันออกมา บางคนเอามาถวายอาตมาทีเป็นถังเลย
ลองมานึกง่าย ๆ ว่าบารมีขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ทั้งชีวิตของท่านเพิ่งได้มา ๒ องค์ แล้วพวกเราเป็นใคร..ได้มาทีละถัง ? แค่เอาหัวแม่เท้าตรองดูก็น่าจะรู้ว่าจริงหรือปลอม..?! ถ้าถามว่าพระบรมสารีริกธาตุปลอมบูชาแล้วมีอานิสงส์ไหม ? ขอยืนยันว่ามีอานิสงส์เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าอนุสติคือการตามระลึกถึงนั้น สำคัญที่ว่าเรานึกถึงพระท่านหรือเปล่า ? ถ้าเรานึกถึงก็ได้อานิสงส์เต็มร้อยอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องมาถามอาตมาอีกว่าจริงหรือปลอม เพราะว่าถึงเป็นของจริง ถ้าพวกเราไม่นึกถึงเลยก็สู้ของปลอมที่คนเขาบูชาและนึกถึงเป็นปกติไม่ได้”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:08 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนหนึ่งเคยปฏิบัติธรรมมา แล้วก็ปล่อยให้กิเลสร่าเริง ปัจจุบันนี้มักจะเครียด เพราะว่าทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิม ขอบอกว่าการที่ทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิมนั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ทำแล้วอยากดี ก็คืออยากให้ดีเหมือนเดิม ตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน ถือเป็นนิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี ในข้อที่เรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ
สาเหตุที่ ๒ ก็คือ การที่เราทิ้งไปนาน ๆ ทำให้กิเลสมีกำลังกล้าแข็งกว่า ต้องดิ้นรนภาวนากันอย่างหนัก ต้องสู้กันจริง ๆ จัง ๆ ถึงจะตีคืนมาได้ ดังนั้น..ต้องใช้ความเพียรพยายามให้มากกว่านี้ ต้องคิดว่าเรามี ๑๐ นิ้วเหมือนคนอื่น ในเมื่อคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้เช่นกัน ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของใครทำใครได้ ไม่มีใครทำแทนคนอื่นได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตเองก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ถ้าบอกไปแล้วไม่ปฏิบัติตาม สิ่งที่บอกไปก็เท่ากับไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ตนเลย เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นต้องเกิดจากศรัทธาก่อน ซึ่งในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ได้กล่าวเอาไว้ถึงศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะถ้าไม่เกิดศรัทธา คือความเชื่อมั่นความเลื่อมใสแล้ว ก็จะไม่พากเพียรปฏิบัติ เมื่อไม่พากเพียรปฏิบัติ สติและสมาธิก็เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อขาดสติและสมาธิ ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดได้”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-04-2015 เมื่อ 10:24 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เราเรียกว่า ปลัดขิก จริง ๆ แล้วก็คือศิวลึงค์ เป็นเครื่องหมายเพศของพระศิวะ แล้วก็มีอุมาโยนี เป็นเครื่องหมายเพศของพระอุมา ซึ่งโบราณพวกบรรดาพราหมณาจารย์และโยคีต่าง ๆ ได้ศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลังในการให้กำเนิด เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นพลังเพื่อสร้างโลกโดยเฉพาะ ในเมื่อเข้าใจถึงตรงจุดนี้ก็เลยทำสัญลักษณ์ขึ้นมา เป็นศิวลึงค์และอุมาโยนี ซึ่งอยู่ในลักษณะว่า ถ้า ๒ อย่างประสานกันขึ้นไป มีพลังอำนาจถึงขนาดก่อเกิดชีวิตได้ ท่านถึงได้ทำการสร้างรูปเคารพขึ้นมาอย่างที่พวกเราเรียกกันว่าศิวลึงค์ หรือว่าพอมาบ้านเราแล้วครูบาอาจารย์ท่านปรับสร้างให้ขนาดเล็กพกติดตัวได้ แล้วก็ไปเรียกปลัดขิกตามที่บ้านเราเรียกกัน
ปลัดขิกบ้านเราตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ ที่สร้างแล้วมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันก็มีของ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ของหลวงพ่อซ่วน วัดท่าลาดใต้ ของ หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน แล้วก็หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก บางท่านถึงขนาดเสกปลัดขิกว่ายน้ำได้เหมือนปลาเลย บางท่านเสกแล้วปลัดขิกบินแข่งกับเครื่องบินได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:11 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
"การที่จะใช้วัตถุมงคลให้ได้ผลจริง ๆ นอกจากจะต้องมีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ถ้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอุปเท่ห์ หรือว่าสาเหตุที่ท่านได้สร้างวัตถุมงคลนั้น ๆ ขึ้นมา ก็จะทำให้สามารถเข้าถึงและใช้วัตถุมงคลได้เต็มที่ เต็มกำลัง เหมือนที่อาตมาเคยบอกว่า พระคาถาแต่ละบท ถ้าเราสามารถเข้าถึงตัวพระคาถาได้จริง ๆ ก็จะใช้ให้เกิดผลได้มากกว่าคนอื่น
อย่างเช่นพระคาถาเมตตาที่ว่า “พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต” เป็นต้น ก็คือ พระอรหันต์มีความเมตตาขนาดไหน ไปถึงที่ใดก็ล้วนแล้วแต่ไปดี ถ้าเราสามารถเข้าใจถึงลึกซึ้งถึงวาจาประโยคนี้ได้ก็จะเข้าใจ คนอื่นเห็นพระอรหันต์แล้วเกิดความเมตตาอยากจะสงเคราะห์ เพราะท่านประกอบไปด้วยความดี ความบริสุทธิ์อย่างยิ่งแบบไหน ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้วใช้พระคาถานี้ภาวนา นึกถึงกำลังใจแบบนั้น คนที่ได้พบได้เห็นเราก็จะเกิดความเมตตาให้การสงเคราะห์อนุเคราะห์ลักษณะนั้นเช่นกัน ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลหรือตัวบทพระคาถาใด ๆ ถ้าเราเข้าใจถึงอุปเท่ห์และวิธีการ ตลอดจนกระทั่งเข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานของพระคาถาหรือการสร้างวัตถุมงคลนั้น ๆ ขึ้นมา เราก็จะสามารถใช้วัตถุมงคลนั้นได้มากกว่าคนที่ไม่เข้าใจ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
"ใครที่ยังไม่ได้จองตะกรุดมหาสะท้อนในเว็บวัดท่าขนุน ให้โอกาสถึงวันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ตอน ๖ โมงเย็นเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วอาตมาจะเริ่มปฏิบัติการ "อม" เหลือเท่าไรต้องเก็บไว้บ้างเพราะว่าพระท่านไม่อนุญาตให้สร้างมาตั้งหลายปี เหตุเพราะว่าบรรดาลูกศิษย์ไปเล่นเขาถึงตายไป ๒ ศพ..!
อยากจะให้วัตถุมงคลทุกชนิดได้รับพรแบบมีดหมอเพชราวุธ ก็คือห้ามคิดร้ายต่อคนอื่น แต่ว่าตะกรุดมหาสะท้อนไม่ได้ห้าม ในเมื่อไม่ได้ห้าม บรรดาลูกศิษย์พอโดนคนอื่นรังแกมาก ๆ ก็โมโห ปลุกตะกรุด เล่นเอาตายไป ๒ ศพ พระท่านเลยสั่งห้ามทำมาหลายปี เพิ่งจะมีปีนี้ที่ได้รับอนุญาตให้สร้าง ตอนแรกบอกว่าไม่เกิน ๒,๐๐๐ ดอก อาตมากลัวว่าจะต้องตีกันตาย ต่อรองจนถึง ๓,๐๐๐ ดอก แต่ว่าจะไม่ปล่อยให้เริงร่าหน้าบานไปมากนัก เพราะว่ามีหลายท่านเตรียมตุนไว้เก็งกำไร จะปิดการจองสิ้นเดือนนี้ เหลือเท่าไรไม่ต้องมาง้อ ขึ้นราคาแน่นอน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:14 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันนี้เกิดจากดำริของอาตมาที่ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษาแล้ว ควรจะทำอะไรเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน ก็พอดีว่าได้ทำสมเด็จองค์ปฐมขนาด ๙.๙ นิ้วอยู่ จึงขอให้ช่างช่วยทำแบบเผื่อหล่อองค์ด้วยเนื้อเงินแท้ทั้งองค์ ปรากฏว่าช่างสามารถจัดการได้และโยกย้ายเอาเตาหลอมมาในสถานที่นี้เลย ต้องขออภัยญาติโยมที่สถานที่คับแคบไปหน่อย เดี๋ยวพอบวงสรวงแล้วก็จะทำการหล่อพระเลย
วันนี้หลวงพ่อพระครูวิจารณ์วิหารกิจ วัดสุขุมาราม หรือที่เราเรียกว่า หลวงพ่อพระครูสุรินทร์ เมตตามา ถ้าถามว่าหลวงพ่อพระครูสุรินทร์เป็นใคร ? ก็ต้องบอกว่า ท่านพระครูสมุห์พิชิต ท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมลและพระใบฎีกาประทีป ที่เราเรียกง่าย ๆ หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีปนั่นแหละ ก็คือลูกศิษย์ที่ท่านบวชให้ ท่านเองอายุกาลพรรษามากแล้ว วันนี้มีกิจนิมนต์มาสถานที่ใกล้เคียงก็เมตตามา เดี๋ยวสักครู่หนึ่งเมื่อทำการหล่อพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็จะขึ้นไปรับสังฆทานต่อด้านบน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:15 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
"วันนี้หลวงพ่อพระราชวรเวที ประธานการเจริญพระพุทธมนต์ท่านมีภารกิจต้องบวชสามเณร เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วย ท่านจึงขอว่า ขอเจริญพุทธมนต์ตอน ๙ โมงเช้าได้ไหม ? คือไม่อยากจะทิ้งพวกเรา แต่ขณะเดียวกันงานของท่านก็มีอยู่ อาตมาก็เลยเลื่อนการเจริญพุทธมนต์มา ๙ โมงเช้า หลังจากเจริญพุทธมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็จะนั่งรับสังฆทานต่อจนกว่าจะเพล แล้วถวายภัตตาหารเพลพระ
เมื่อเสร็จจากพระฉันเพลเป็นอันว่างานหมด เพราะช่วงบ่ายอาตมาจะไปวิ่งเอกสารเพื่อจบปริญญาเอก เมื่อวานสอบจบไปแล้ว ตอนนี้เป็น "หมา" ไปครึ่งตัวแล้ว ถ้าเดินเอกสารเสร็จก็แปลว่าเป็น "หมา" เต็มตัว ตอนนี้ยังยืน ๒ ขาอยู่ อีกไม่กี่วันจะต้องยืน ๔ ขาเป็นด็อก (เตอร์) แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:16 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
"ความจริงทางมหาวิทยาลัยเขาแนะนำว่า “อาจารย์พระครูทำงานไว้เยอะ ส่งประวัติไปขอกิตติมศักดิ์ก็ได้” แต่อาตมารู้สึกว่าดูถูกตัวเองเกินไป ในเมื่อเราเรียนเก่งออกอย่างนี้ เรียนเองก็ได้ เรื่องอะไรต้องไปง้อเขา
เรียนหนังสือตอนอายุมาก ๆ ได้เปรียบ เพราะว่ามีความรับผิดชอบสูง ถ้าตอนวัยรุ่นนี่ไม่ค่อยใส่ใจหรอก ถือว่าเรียนเก่ง อ่านหนังสือบ้างไม่อ่านบ้างก็ทำได้อยู่แล้ว แต่ตอนแก่ ๕๐ กว่านี่ไม่ไหว เพราะสมองไม่ค่อยแล่นแล้ว ของที่เคยอ่านครั้งเดียวจำได้หมด ตอนนี้ต้องอ่านตั้ง ๗-๘ รอบ แต่ที่เมื่อวานสอบจบแล้วผลออกมาดีมาก เพราะว่าคลำวิทยานิพนธ์เล่มนี้มาเป็นปีแล้ว จำได้เกือบทุกบรรทัด เวลาอาจารย์ท่านถามก็บอกได้ว่าอยู่หน้าไหน อาจารย์เปิดหาแล้วประทับใจมาก ตอนสมัยปริญญาโท คนที่สอบก่อนอาตมาโดนไปเป็นชั่วโมง อาตมาสอบ ๑๕ นาที แล้วอาจารย์ท่านชมว่า “มีการเตรียมพร้อมดีมาก ควรจะเป็นตัวอย่างแก่นิสิตทุกรูป” พอถึงเวลาคนอื่นยับเยินออกมา ท่านก็บอกให้มาดูตัวอย่างที่อาตมา อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้เรียนเก่ง แต่ว่าไม่กลัวอาจารย์ ก่อนที่จะสอบอาตมาวิ่งหาอาจารย์ ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและที่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว ให้ช่วยดูและแก้วิทยานิพนธ์มา ๑๘ รอบ เฉพาะต้นฉบับที่ต้องชั่งกิโลขายนี่สูงเกือบท่วมหัว ปริญญาเอกก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็วิ่งหาอาจารย์ วิ่งหาจนกระทั่งสมุดคู่มือนิสิตที่มีช่องให้ท่านอาจารย์เซ็นอยู่ทั้งหมด ๑๐ ช่องด้วยกัน ว่าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อไร แก้ไขเรื่องอะไร ต้องทิ้งเอาไว้ท้ายสุด ๑ ช่องเพื่อตอนสอบจบ เนื่องจากว่าใช้หมดช่องไปตั้งแต่แรก ๆ แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 14:03 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
"ถึงได้ยืนยันว่า ถ้าอยากเก่งต้องอย่ากลัวอาจารย์ อย่างที่โบราณท่านบอกว่า อายครูบ่รู้วิชา ฉะนั้น..ไม่ต้องอาย ไปกี่ครั้งเราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเท่านั้นครั้ง คนเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ผู้ที่เก่งครบถ้วนทุกเรื่องมีท่านเดียว คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังเก่งเป็นด้าน ๆ อย่างเช่น พระสารีบุตรเป็นเลิศทางปัญญา พระโมคคัลลาน์เป็นเลิศทางมีฤทธิ์ พระอนุรุทธเป็นเลิศทางทิพจักขุญาณ เป็นต้น ดังนั้น..ในเมื่อเราไม่ได้เก่งทุกด้าน ก็อย่าไปกลัวอาจารย์ ต้องวิ่งหาตลอด และมั่นใจว่าลูกศิษย์คนไหนที่วิ่งหา อาจารย์ท่านจะรักมาก โดยเฉพาะถ้าสั่งแล้วได้อย่างใจ
ของอาตมาเองการตรวจรอบสุดท้ายโดยผู้อำนวยการหลักสูตร คือ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ทั่งโต ท่านตรวจแล้วท่านพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้สึก ท่านบอกว่า “ผมชอบใจท่านอาจารย์พระครูตรงที่ว่า บอกอย่างไรก็เขียนได้อย่างนั้น แก้ได้อย่างนั้น” ตอนนั้นที่ไม่เข้าใจเพราะว่ารู้สึกเป็นปกติของตัวเอง แต่พอไปเจอท่านอื่นที่บอกไป ๕-๖ ครั้งแล้วแก้ไม่ได้ แก้ไม่สำเร็จ ถึงได้เข้าใจว่าที่ท่านอาจารย์พูดว่าแปลว่าอะไร แปลว่าบอกไปแล้วเขาไม่เข้าใจว่าท่านอาจารย์ต้องการแบบไหน ก็ทำไม่ได้อย่างที่ท่านอาจารย์ต้องการ เราอย่าไปอวดว่าเรามีความรู้ อย่าไปอวดดีกับอาจารย์ เพราะว่าท่านมีความชำนาญมากกว่า ฉะนั้น..ขอให้ฟังแล้วแก้ไขตามท่าน ถ้าไม่เข้าใจก็สารภาพไปตรง ๆ ว่าไม่เข้าใจ ท่านจะให้คำแนะนำเอง อาจารย์บางท่านอย่าง รศ.ดร.อภินันท์ จันตะนี บางคนถ้าท่านบอกแล้วลำบากนัก ท่านก็ช่วยเขียนให้เลย ท่านอาจารย์อภินันท์มาจากนิด้า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-04-2015 เมื่อ 14:06 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “คำว่า พระเดชพระคุณ ที่ใช้กับพระ ท่านให้ใช้กับพระที่มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ชั้นราชขึ้นไป แต่ถ้าเป็นสมเด็จพระราชาคณะสุพรรณบัฏ ท่านใช้คำว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ใช้คำว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณ ต่างกันแค่นี้เอง ใช้ให้ถูกด้วย ถ้าใช้ผิดแล้วจะขายหน้าเขา"
ถาม : แล้วเราต้องแทนตัวด้วยคำว่าเกล้าฯ ไหมคะ ? ตอบ : คำว่า เกล้าฯ คือ เกล้ากระผม นั่นของพระท่านใช้ จะแทนด้วยคำว่าเกล้าฯ ก็ได้ กระผมก็ได้ แต่ถ้าเป็นสมเด็จพระราชาคณะสุพรรณบัฏใช้คำเรียกแทนองค์ท่านว่า “ใต้เท้า” ถ้าสมเด็จพระสังฆราชใช้คำว่า “ฝ่าพระบาท”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2015 เมื่อ 07:53 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|