กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-04-2013, 19:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระนาคปรกลอยองค์ ฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี (นาคไทย ๙ เศียร) รุ่นนี้ ตอนทำพุทธาภิเษกได้ขออนุญาตกับพระท่านว่า พระกริ่งพิชัยสงครามทั้ง ๒ รุ่น ตอนนี้ราคาองค์ละหลายหมื่น ญาติโยมหลายท่านอยากบูชาแต่กำลังไม่ถึง กราบขออนุญาตสร้างรุ่นใหม่

พระท่านตรัสว่า “เอาพระนาคปรกรุ่นนี้ไปใช้แทนก็แล้วกัน” ก็เลยกลายเป็นว่ารุ่นใหม่ไม่ได้สร้าง แต่เอารุ่นนี้ไปแทนได้ ยอดที่สร้างก็ไม่ได้มากมายนัก ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็มีเนื้อชุบทอง ๒ ซ.ม. (๑,๐๐๐ องค์) กับเนื้อเงินแท้ ๒ ซ.ม.(๓๐๐ องค์) เท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 269 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-04-2013, 20:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ที่อาตมาไปสอนพระนิสิต เรื่องของปัจจัยไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ปกติแล้วที่ไปสอนเพราะตั้งเจตนาไว้ว่า จะไปเตือนสติพระนักเรียน ว่า อย่าให้ลืมความเป็นพระของตน เพราะฉะนั้น..อาตมาจะเป็นพระอาจารย์ที่เขาค่อนข้างจะเบื่อขี้หน้า พอถึงเวลาก็จะไปกระตุกต่อมจริยธรรมให้รู้ตัวขึ้นมาทีหนึ่ง เขาก็จะกินไม่เป็นสุข อยู่ไม่เป็นสุขไปพักใหญ่ พอเริ่มทำใจให้หน้าด้านได้ อาตมาก็ไปกระตุกซ้ำอีกแล้ว

ฉะนั้น..ที่ยอมรับเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย จุดมุ่งหมายจริง ๆ ก็คือเพื่อที่จะไปบอกกับพวกเขาว่า ถ้าคุณเป็นพระนักปฏิบัติจริง ๆ การเรียนไม่มีอะไรยากเลย เพราะถ้าสมาธิทรงตัว เราฟังอะไรครั้งเดียวก็เข้าใจแล้ว

จะว่าไปแล้วอาตมาพื้นฐานการเรียนทางโลกน้อยมาก จบแค่ชั้น ม.ศ.๓ (มัธยมศึกษาปีที่ ๓) เท่านั้น ถึงจะไปเรียนวิชาทหารมา วิชาพวกนั้นก็สอนแต่ให้ฆ่าอย่างเดียว แต่ปัจจุบันนี้เรียนปริญญาเอกอยู่เพื่อนทั้งห้องต้องมาพึ่ง ก็เพราะว่าในส่วนที่อาตมาฟังแล้วเข้าใจ และรู้ว่าอาจารย์ท่านต้องการอย่างไร

อย่างเมื่อล่าสุด ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชวรเวที ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดท่านจะมาเป็นประธานในการเจริญพุทธมนต์ ท่านเป็นพระนักปฏิบัติกรรมฐานที่สุดยอดมาก และอาตมาก็เป็นคู่ปรับท่านมาตั้งแต่สมัยเรียนประกาศนียบัตร เรียนปริญญาตรี เรียนปริญญาโท พอถึงปริญญาโทท่านเลิก ท่านไม่ยอมให้อาตมาเป็นคู่ปรับด้วย เพราะว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านลงได้บรรยายธรรมเมื่อไร ท่านจะหลับตาว่าไปเรื่อย สองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว ลักษณะอย่างนั้นต้องเป็นบุคคลที่ทรงฌานเท่านั้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะลำดับความ แล้วบรรยายได้มากขนาดนั้นได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 252 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-04-2013, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาเองนั่งฟังท่านตั้งแต่ ๖ โมงเย็นจนถึง ๔ ทุ่ม ก็มานั่งคิดว่าตามกำหนดการเขาให้เราฟังแค่ ๓ ทุ่ม ถ้าเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ตี ๓ ต้องตื่น แล้วพระที่ไม่เคยชินท่านจะตื่นไม่ไหว ก็เลยสะกิดเข่า ท่านก็ลืมตาดู เห็นอาตมาทำท่าว่า “ขอเวลานอกครับ” ชี้ให้ท่านดูนาฬิกา ท่านหันไปดูแล้วพูดว่า “อ้อ..เวลาก็พอสมควรแล้ว อย่างนั้นคืนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะ”

พอออกมาข้างนอก เพื่อน ๆ เฮกันมากเลย เพราะอาตมาเป็นแค่นักเรียนระดับประกาศนียบัตร แต่บังอาจไปเล่นรองเจ้าคณะภาคเสียแล้ว ปริญญาตรีก็เจออย่างนั้นตลอด ๔ ปี คือต้องคอยสะกิดท่าน พอปริญญาโทท่านเห็นหน้าอาตมาท่านจำได้ จำได้ว่าถ้าขืนยาวเลยเวลาท่านโดนแน่ ท่านก็เลยตั้งเวลาของท่าน ก็คือท่านก็หลับตาบรรยายของท่านไปเรื่อย พอถึงเวลา ๒ ทุ่มครึ่งตรงท่านลืมตาบอกว่า “เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”

ลักษณะนั้นจำไว้เลยนะว่า ต้องคล่องตัวในสมาธิขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้ เพราะท่านนั่งหลับตาบรรยาย ไม่อย่างนั้นแล้วจะไม่เลิกตรงเวลาขนาดนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 256 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-04-2013, 20:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระผู้ใหญ่ เราต้องเห็นใจว่า ถ้าท่านมีงานหลวงที่สำคัญกว่า ท่านต้องไปที่นั้น อย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ อาตมาไปนิมนต์ท่าน เพื่อไปเจริญพุทธมนต์ฉันเพล ในงานทำบุญ ๘๐ ปีหลวงพ่อพระเทพเมธากร อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านดูแล้วก็บอกว่า “ฉันเพลใช่ไหม ? ” กราบเรียนว่าใช่ครับ ท่านบอกว่า “ผมมีสวดมนต์เย็นที่พระบรมมหาราชวัง ผมกลับทัน..จะไปให้” ลักษณะถ้ามีที่สำคัญกว่าแล้วท่านไปงานเราไม่ทัน ท่านก็จะไม่ไป

แบบเดียวกับที่อาตมาแนะนำบรรดาพระผู้ใหญ่ทางด้านกาญจนบุรีว่า "นี่คือท่านเจ้าคุณพระภาวนากิจวิมล หรือท่านเจ้าคุณอนันต์ วัดท่าซุง อาจารย์ของผมเอง" พระผู้ใหญ่ท่านก็มักบอกว่า “ทำไมไม่นิมนต์ท่านมางานวัดท่าขนุนบ้าง” อาตมากราบเรียนท่านว่า “ด้วยฝีตีนของคนขับรถอาตมา ที่เขาเรียกว่าบินแข่งนรก ยังใช้เวลา ๕ ชั่วโมงกว่าจะถึงวัดท่าซุง แล้วคนที่ไม่ได้ขับเร็วขนาดนั้นจะใช้เวลากี่ชั่วโมง สมมติว่าออกจากวัดท่าซุงตีห้า จะไปถึงท่าขนุนเลยเพล ไม่ต้องรับประทานกันหรอก เพราะฉะนั้น..อย่าให้ท่านต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะงานของผมเลย จึงไม่ได้นิมนต์”

มีคนเขาสงสัยว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาบวงสรวงก็เปิดเทปหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำไมพระอาจารย์เล็กบรรเลงเองอยู่เรื่อยเลย ปัญหานี้ปกติเขาถามแล้ว อาตมาก็ตอบเป็นการส่วนตัวไป แต่เพื่อที่จะไม่ให้โยมเสียเวลามาถามอีกก็ขอบอกว่า

เมื่ออาตมาไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก ทำบวงสรวง พอทันทีที่จะกดปุ่มเดินเครื่องซาวน์อะเบาท์ เพื่ออาศัยเสียงหลวงพ่อท่านบวงสรวง ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อจริง ๆ ได้ยินเสียงท่านดังเต็มหูเลยว่า “เอ็งใช้ข้าจนตายแล้วยังจะใช้ต่ออีกหรือ ?” สงสัยว่าหลวงพ่อท่านคงจะบอกทุกคนแหละ แต่คนอื่นเขาแกล้งไม่ได้ยิน บังเอิญอาตมาได้ยิน จึงกราบเรียนถามท่านว่า “เวลาบวงสรวงต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?” หลวงพ่อท่านก็บอกวิธีการให้ อาตมาซักรายละเอียดเลยโดนด่า สรุปว่าทำตามที่ท่านบอกเท่านั้น..ห้ามถาม เพราะฉะนั้น..จงเลิกสงสัย

มีพระเกจิอาจารย์และญาติโยมหลายต่อหลายท่านถามว่า “เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ถือว่าเป็นพระรุ่นใหม่ ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ ทำไมเสกวัตถุมงคลได้ขลังขนาดนี้ ?” อาตมาบอกกับทุกรายเลยว่าไม่ได้เสกเอง ถึงเวลาอาตมาจะกราบขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ กราบเรียนพระท่านว่า “เคยสงเคราะห์หลวงพ่อวัดท่าซุงเท่าไร ผมก็ขอแค่นั้นครับ” ขอนิดเดียว..อาตมาเป็นคนไม่โลภมาก ไม่ขอเยอะหรอก

วิธีการนี้พวกเราจะเอาไปใช้บ้างก็ได้ แต่ว่าขอยืนยันว่าอย่างน้อย ๆ เราต้องมีต้นทุนพอ คำว่ามีต้นทุนพอก็คือเวลาพระ หรือว่าหลวงปู่ หลวงพ่อท่านใช้งานอะไรเรา โปรดทำให้สำเร็จด้วย ถ้าทำให้สำเร็จอยู่บ่อย ๆ เดี๋ยวต้นทุนของเราจะพอเอง พอต้นทุนพอ ถ้าอยากให้ท่านสงเคราะห์อะไรท่านก็จะสงเคราะห์ให้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-04-2013 เมื่อ 12:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 261 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-04-2013, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อพระครูสิริบุญโสภิต เจ้าอาวาสวัดใหม่ยายนุ้ย มีโครงการจะซื้อที่ดินเพื่อขยายถนนซอยให้กว้างกว่านี้ เนื่องจากทั้งวัดทั้งโรงเรียนก็อยู่ในซอยนี้ เมื่อรู้ว่าอาตมามาทำบ้านวิริยบารมีอยู่ที่นี่ หลวงพ่อท่านก็ขอซื้อที่หน้าบ้านเพื่อขยายซอย อาตมากราบเรียนท่านว่า “ถ้าหลวงพ่อทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ผมไม่คิดสตางค์ ขอถวายเลยครับ”

แล้วร่นรั้วให้ ๑ เมตร กับ ๕๐ ซ.ม.เลย ปรากฏว่าอีกบ้านหนึ่งขายให้แค่ ๕๐ ซ.ม. ไม่ใช่ถวายนะ เขาขาย..หลวงพ่อท่านเห็นว่าไม่พอที่จะทำให้รถหลีกกันได้ ท่านก็เลยไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำไม

เราก็ต้องมาดูว่า ในเรื่องของบุคคลที่มีจิตเสียสละเพื่อส่วนรวม ต้องเป็นกำลังใจระดับพระโพธิสัตว์กันเลย ถ้าสำหรับบุคคลที่ปรารถนาในพระโพธิญาณแล้ว การเสียสละเพื่อส่วนรวมนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องกระทำกันเป็นปกติ ท่านที่ไม่ได้มีกำลังใจมาทางด้านนี้ ท่านไม่เสียสละก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของท่าน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 252 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 04-04-2013, 20:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนตอนนี้บริษัทรับเหมากำลังเจาะเสาเข็มกันอยู่ อาตมาเองก็เพิ่งทำพิธีลงเสาเอกไปเมื่อวันที่ ๒๗ ที่ผ่านมา แต่เป็นที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ก็คือพวกคนงาน ถึงเวลาก็ลงไปกวาดเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญในหลวง แก้วแหวนอะไรต่าง ๆ ไปคนละหอบสองหอบ อาตมาก็ไม่รู้จะบอกเขาไปทำไม ว่าสิ่งที่ตัวเขาเองทำนั้นจะเดือดร้อนสาหัสทีหลัง

ญาติโยมจำนวนมากยังไม่ทราบว่า การที่เข้าวัดเข้าวา แล้วนำเอาสิ่งต่าง ๆ ไปนั้นเป็นหนี้สงฆ์ คำว่า "หนี้สงฆ์" ถ้าเราไม่รู้โทษก็จะไม่รู้สึกว่าหนัก ขอบอกว่าหนี้สงฆ์จะมากจะน้อย เขาปรับโทษอเวจีอย่างเดียว เพียงแต่ว่าจะอยู่นาน อยู่เร็วกว่ากันเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้สงฆ์ที่เราเป็นอยู่ การเป็นหนี้สงฆ์ถ้าไม่ได้ชำระหนี้ บุญทั้งหมดที่ทำมาเป็นหมันหมด เพราะว่าเขาจะเอาลงไปปิ้งเล่นที่อเวจีก่อน..!

อาตมาสงสารพวกคนงานชุดนั้น แต่รู้ว่าบอกไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าบอกไปจะเป็นโทษหนักกับเขาอีก เพราะกลายเป็นว่ารู้แล้วยังขืนทำ ถ้าไม่บอกก็ให้เขาทำ ๆ ของเขาไป โทษยังไม่หนักเท่านั้น เขาอาจจะได้ทอง ได้เงินไปขายเพื่อยังชีพ สร้างความสุขสบายให้แก่ตัวเองก็ได้แค่พักเดียว พอถึงเวลาความเดือดร้อนมาถึงจะแก้ตัวก็ไม่ทันแล้ว เพราะส่วนใหญ่ไปรู้เอาตอนตาย

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเราเองที่พอจะรู้ ก็พยายามแนะนำลูกหลานญาติโยมของตนเองให้เข้าใจในเรื่องของการเป็นหนี้สงฆ์ คนโบราณสมัยก่อนจิตใจละเอียดมาก บรรดารุ่นปู่ย่าตายาย เวลาจะไปวัด จะบอกลูกหลานให้หยิบดินที่บ้านก้อนหนึ่งใส่หาบไปด้วย พอไปถึงก็ไปโยนไว้ในวัด เพราะเขาถือว่าการเดินเข้าวัด ทำให้มีเศษดินจากวัดติดเท้าไป ในเมื่อเศษดินจากวัดติดเท้าไปเท่ากับว่าเป็นหนี้สงฆ์

คนโบราณที่ใจละเอียดก็เลยใช้วิธีชำระหนี้สงฆ์โดยการเอาดินจากบ้านก้อนหนึ่ง จะก้อนเล็กก้อนใหญ่ก็อยู่ที่ลูกหลานจะหยิบให้ ใส่หาบที่เอาภัตตาหารไปถวายพระ ถึงเวลาก็เอาไปโยนไว้ในวัด ถือว่าใช้หนี้กันไป แล้วอีกส่วนหนึ่งที่โบราณท่านทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการขนทรายเข้าวัด เขาก็ถือว่าการติดหนี้สงฆ์นั้น แต่ละปีจะทำการใช้หนี้ด้วยการขนทรายเข้าวัด สมัยก่อนทรายไม่ได้ซื้อหากันง่ายอย่างในสมัยนี้ อยากได้ทรายต้องไปงมเอาในแม่น้ำ ต้องดำน้ำลงไปตักขึ้นมาทีละถังครึ่งถัง แล้วแต่ว่าใครจะสามารถตักได้เท่าไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 250 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-04-2013, 20:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อย่างสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคทำการก่อสร้าง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า หลวงปู่ปานต้องดำงมทรายเอง ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักว่า "เหนี่ยง" หน้าตาเป็นอย่างไร แมลงเหนี่ยงเป็นแมลงชนิดหนึ่ง บางคนเรียกว่าแมลงตับเต่า เอามาคั่วเกลือกินอร่อยดี ดำจนขึ้นเงา เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนอะไรที่ดำ ๆ เขาจะไม่บอกว่าดำเหมือนอีกา เขาจะบอกว่าดำเป็นเหนี่ยง ท่านบอกว่า “หลวงปู่ปานนี่ดำทรายทุกวัน ตัวดำเป็นเหนี่ยงเลย” ว่าอย่างนั้น

แสดงว่าสมัยก่อนที่เราจะซื้อจะหาทรายกันเพราะมีเครื่องดูดนั้น คนโบราณเขาใช้วิธีดำไปตักทรายกัน แล้วก็เอาใส่หาบ หาบไปวัด ไปก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา แล้วอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ได้ชำระหนี้สงฆ์ที่ตนเองติดหนี้เอาไว้ เนื่องจากว่าเข้าวัดเข้าวาแล้ว ได้เหยียบย่ำเอาดินทรายติดเท้าไป มาระยะหลัง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า ถ้าอยากจะชำระหนี้สงฆ์ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ถ้าสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกแล้วไม่ปิดทอง ชำระหนี้ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าปิดทองด้วย ชำระได้ทั้งคณะ จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ถ้าร่วมกันทำ

ญาติโยมส่วนใหญ่เข้าวัดแล้วไม่มีความรู้ เพราะว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่ก็ไม่รู้ ไม่ได้อบรมมา รุ่นเราก็ไม่รู้ ถึงเวลาจึงไม่ได้อบรมต่อ ลูกหลานก็ยิ่งไม่รู้หนักเข้าไปอีก ฉะนั้น..ถึงเวลาเข้าวัดแล้ว ชอบใจอะไรก็หยิบไปเรื่อย เห็นดอกไม้สวยเด็ดดอกไม้ เห็นผลไม้สุกเก็บผลไม้ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทั้งนั้น และโดยเฉพาะบรรดาลูกหลานที่เป็นพระยิ่งไม่เข้าใจ ก็ยิ่งมีการแสดงออกที่ทำให้พ่อแม่เป็นหนี้สงฆ์หนักขึ้นไปอีก ก็คือญาติโยมเขาถวายอะไรมา ก็ขนกลับบ้านไปให้พ่อแม่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2013 เมื่อ 20:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 05-04-2013, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าญาติโยมได้ยินตอนอาตมากล่าวถึงในหลวงเมื่อตอนเป่ายันต์ฯ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ว่า ในหลวงของเราไม่ได้ต้องการให้คนไปร้อง "ทรงพระเจริญ" หรอก แต่ที่ออกมหาสมาคมที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เพราะพระองค์ท่านต้องการกำลังใจของคนหมู่มากไปรวมกัน เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลก และท่านแก้ปัญหาด้วยการช่วยประเทศสหรัฐอเมริกา

ถ้าเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น ยุโรปก็จะดี ถ้ายุโรปอเมริกาดีขึ้น ทั้งโลกก็จะดีขึ้น อาตมาคาดว่าน่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติบางอย่างจะปรากฏขึ้นที่อเมริกา ตอนนี้มีข่าวหลุดออกมาว่าอเมริกาพบบ่อน้ำมันยักษ์ อีก ๕ ปีจะแซงซาอุฯ โปรดทราบว่าเป็นฝีพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เต็ม ๆ พระองค์ท่านไม่ได้ต้องการให้โฆษณา แต่อาตมาถวายการรับใช้ฟรี..! เป็นเรื่องที่ปิดทองหลังพระชนิดที่พวกเราก็ไม่รู้กัน

ตอนแรกอาตมาก็สงสัยว่า ทำไมพระองค์ท่านไม่ให้เมืองไทยเป็นอย่างนั้น ปรากฏว่าพระองค์ท่านแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ในเมื่อเศรษฐกิจโลกจะพังเพราะอเมริกา ก็ต้องแก้ที่อเมริกาไม่ใช่แก้ที่ประเทศไทย ถ้าแก้ที่ประเทศไทยก็ดีแค่เอเชียกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ในเมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องแก้ที่อเมริกา ทั้งโลกจะได้ดีขึ้น เราจะได้เห็นว่ากำลังใจของพระโพธิสัตว์นั้นท่านไม่มีประเทศ ไม่มีเชื้อชาติ มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เท่านั้น

ดังนั้น..อะไรที่พอจะช่วยเหลือกันได้ พระองค์ท่านก็ช่วย ขอให้ทราบว่าเราทุกคนที่ร่วมกันส่งกำลังใจถวายพระพรในหลวงนั้น พระองค์ท่านรวมกำลังใจทั้งหมด ไปเปิดทรัพย์ใต้ดินเพื่อที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลก ฉะนั้น..จงภูมิใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในจำนวนนั้น ที่ได้ทำให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แม้ว่ากำลังใจจะห่วยไปหน่อยก็ตาม..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2013 เมื่อ 17:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 05-04-2013, 12:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"แต่อาตมาเป็นห่วงอเมริกาว่า ถ้าทรัพยากรขึ้นลักษณะนี้ คนอเมริกาก็จะฟุ่มเฟือยไม่ดูหน้าดูหลังกันต่อไป ซึ่งจะกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีติดตัวไปอีกหลายชั่วคน ถ้าเกิดอะไรที่จะทำให้ประเทศชาติตนเองมีปัญหา เกรงว่าคนที่เคยสบายแล้วจะไม่ยอมลำบาก ในเมื่อสบายแล้วไม่ยอมลำบาก การจะออกกฎหมายอะไรมาเพื่อบังคับใช้กับคนหมู่มากก็จะไม่เกิดผล และจะเป็นตัวถ่วงให้โลกล่มจมต่อไป

ดังนั้น..ในงานเป่ายันต์ฯ แต่ละงานที่อาตมาบอกว่า กำลังใจของเราที่ไปรวมกันจำนวนมาก ๆ ในจุด ๆ หนึ่ง พรหมเทวดาท่านต้องการจะเอากำลังที่รวบรวมได้ในส่วนนี้ ไปเพื่อประคับประคองประเทศชาติของเรา ถ้าอะไรที่หนักก็จะทำให้เบา ถ้าอะไรที่เบาก็จะได้แก้ไขให้ลุล่วงผ่านไปได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2013 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 238 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 05-04-2013, 12:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศเขมรที่เราเคยเห็นว่าล้าหลังสุดกู่ปลายตะโกน เป็นทุ่งสังหาร มีแต่สงครามมาตลอดระยะเวลายาวนาน ตอนนี้เขาจะแซงหน้าเราไปแล้ว เขมรโฆษณาประกาศใช้โทรศัพท์ 4G ตั้งแต่เมษายน ๒๕๕๕ แล้ว ลาวเริ่ม 4G ไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ประเทศไทยเรา 3G ยังปั้นไม่เป็นตัวเลย

เห็นหรือยังว่าการที่บ้านเราเมืองเรา มัวแต่แบ่งแยกสามัคคีกันอยู่ ทำให้บ้านเราเมืองเราล้าหลังขนาดไหน ? การที่เราคอยคัดค้าน คอยตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเป็นของดี เพื่อที่ทุกอย่างจะได้โปร่งใส การพัฒนาบ้านเมืองจะได้เป็นไปโดยเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ไม่ใช่หลับหูหลับตาค้านทุกเรื่อง ลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่า มือไม่พายแล้วเอาปากราน้ำ..! ประเทศชาติแทนที่จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ต้องทันใครเสียที

สนามบินสุวรรณภูมิประกาศสร้างตั้งแต่อาตมายังไม่เกิด มาสำเร็จตอนอาตมาอายุ ๔๗ ปี เราจะเห็นได้ว่าบ้านเราจริง ๆ แล้ว คนที่ทำร้ายประเทศชาติบ้านเมืองจริง ๆ ส่วนใหญ่คือนักการเมืองไม่กี่คน ดังนั้น..บุคคลที่น่าสงสารที่สุดในบ้านเราก็คือในหลวง ในหลวงที่พยายามประคับประคองทุกคน ในหลวงที่ไม่เคยเห็นว่านี่เป็นเสื้อเหลือง นี่เป็นเสื้อแดง ในหลวงไม่เคยเห็นว่านี่เป็นคนไทย นี่เป็นคนอิสลาม

ในหลวงเห็นทุกคนเป็นพสกนิกรที่พระองค์จะต้องให้การสงเคราะห์เสมอหน้ากัน เมื่อเห็นแบบอย่างที่ในหลวงทรงทำมาตลอด ๖๐ กว่าปี แล้วทำไมคนอื่น ๆ ถึงไม่เลียนแบบแล้วทำตามบ้าง ? ถ้าเรายังมีการรังเกียจผู้อื่นอยู่ ไม่ว่าจะโดยเชื้อชาติ โดยศาสนา โดยสีเสื้อ โดยแบ่งพรรคแบ่งพวกอะไรก็ตาม แปลว่าเราเข้าไม่ถึงการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ยังมีตัวกู ของกูอยู่เต็ม ๆ

ที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า Ego คือยึดอัตตา เอาตัวเองเป็นใหญ่ ความคิดของเราต้องถูก ของคนอื่นใช้ไม่ได้ การสามัคคีปรองดองในประเทศชาติต้องทำตามที่กูต้องการเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเมื่อไรจะปรองดองกันได้ ถ้าไม่ทำตามที่เขาต้องการก็แปลว่าปรองดองกันไม่ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2013 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 05-04-2013, 12:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การปรองดองก็คือต่างคนต่างยอมลดทิฐิ อะไรที่เสียสละเพื่อส่วนรวมได้ต้องยอมเสียสละ ประเทศชาติบ้านเมืองของเราตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ชัดเจนจากสุโขทัยมา ๗๐๐ กว่าปี แม้ว่าจะมีการเสียกรุงให้กับประเทศอื่นบ้าง แต่เราก็สามารถรวมประเทศเป็นปึกแผ่นแน่นหนาขึ้นมาได้ แล้วมีบุคคลแค่ไม่กี่คน ทำให้การแตกแยกร้าวลึกจนไม่สามารถประสานกันได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน เราลองคิดดูซิว่า..พวกเราเป็นคนที่โดนจูงจมูกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?

เรารับฟังข่าวสารต่าง ๆ โดยไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาเลยหรือว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ? แม้กระทั่งพระพุทธเจ้ายังตรัสถึงกาลามสูตรหรือเกสปุตตสูตรว่าอย่าเชื่อโดยเขาลือสืบ ๆ กันมา แม้กระทั่งอย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา เราได้ทำตนสมกับที่เป็นพุทธศาสนิกชนหรือยัง ? หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก เหมาะแก่การใช้ในทุกสมัย ทุกที่ทุกทาง ถ้าตราบใดที่เราหันไปทางไหนแล้วยังติดขัดอยู่ แปลว่าเรายังไม่สามารถจะปรับใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างคล่องตัว ก็แปลว่าเรายังไม่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง

ดังนั้น..ในส่วนที่อยากจะบอกพวกเราก็คือว่า ในหลวงทรงพระชราภาพเหลือเกินแล้ว กายสังขารของพระองค์ท่านไม่สามารถที่จะทนต่อความลำบากตรากตรำได้แล้ว ความหวังในชีวิตของพระองค์ท่านก็คือเห็นคนไทยทุกคนรักใคร่สามัคคีกัน มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ สิ่งนี้พระองค์ท่านจะได้เห็นภายในพระชนม์นี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพวกเรา

รู้ตัวแล้วรีบทำ ทำได้แล้วนำไปบอกต่อ ให้คนรอบข้างของเราได้ทำในสิ่งเดียวกัน ก็คือทำความดีให้เป็นความดีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ถามว่าความดีคืออะไรแล้วตอบไม่ได้ ความดีอย่างแท้จริงคือการดีตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีด้วยกาย ดีด้วยวาจา ดีด้วยใจ
น้อมนำพระบรมราโชวาทที่พระองค์ท่านให้ไว้ในวาระต่าง ๆ มาปฏิบัติตาม แล้วเราจะเป็นพสกนิกรที่ดี เป็นผู้ที่ยังประเทศชาติของเราให้เจริญรุ่งเรือง ทันให้พระองค์ได้เห็นในพระชนม์ชีพนี้ ว่าประเทศของเราสามารถพัฒนาไปได้อย่างที่พระองค์ใฝ่ฝันและปรารถนาเอาไว้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2013 เมื่อ 17:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 05-04-2013, 12:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรามีโอกาสทำความดีถวายในหลวงน้อยมากแล้ว พระองค์ท่านจะอยู่ยงดำรงขันธ์ไปได้นานเท่าไร ก็ขึ้นอยู่กับกำลังพระทัยที่จะอยู่เพื่อดูความสำเร็จของลูก ๆ ทั้ง ๖๐ กว่าล้านคน ปัจจุบันลูก ๆ ทะเลาะเบาะแว้งกัน คนเป็นพ่อเหนื่อยใจที่สุด เมื่อไรจะยอมลดละทิฐิ รักใคร่สามัคคีกัน ช่วยกันพัฒนาประเทศชาติอย่างจริง ๆ จัง ๆ เสียที อย่าทำให้ความหวังของพระองค์ท่านต้องสูญเปล่า

สิ่งที่ทรงทำด้วยความเหนื่อยยากมาตลอด ๖๐ กว่าปี ขอให้พระองค์ท่านได้ทันเห็นความสำเร็จ อาตมาไม่ได้คิดที่จะพูดในเรื่องที่ทำให้พวกเราต้องลำบากใจ ต้องเครียด แต่อย่างที่บอกว่า ในหลวงทำทุกอย่างเพื่อคนทั้งโลก และเพื่อสรรพสัตว์อีกหลายภพ หลายภูมิ เรามองไม่เห็นก็เอาเฉพาะที่พระองค์ท่านทำให้กับประเทศไทย

ปัจจุบันนี้บุคคลที่ไม่หวังดี ไม่ปรารถนาดี โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์กันมาก ว่าพระองค์ท่านสร้างภาพ แม้กระทั่งฝรั่งก็บอกว่าในหลวงทรงยืนอยู่ในสถานะผู้นำราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะเขาอ้างถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย แต่อาตมาอยากจะบอกว่าประเทศไทยทั้งประเทศเคยเป็นของในหลวงมาก่อน แล้วพระองค์ท่านแบ่งสันปันส่วนให้กับประชากรทุกคน โฉนดที่ดินต้องโดยพระบรมราชานุญาตทุกใบ ในเมื่อพระองค์ท่านอนุญาตให้ออกโฉนดได้ ก็แปลว่าพระองค์ท่านเฉือนทรัพย์สมบัติตนเองทั้งประเทศ แบ่งปันให้กับทุกผู้คน

ฝรั่งเขาบอกว่าเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เป็นราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกนั้น พระองค์ท่านก็นำเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศ ที่ ๆ เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ค่าเช่าถูกสุด ๆ อาตมาเคยได้ยินมาว่าไร่ละบาทบ้าง ๓ บาทบ้าง ๕ บาทบ้าง ถ้าเป็นเรามีที่ดิน จะยอมให้เขาเช่าในราคาแค่นี้หรือไม่ ? แล้วเราก็ไปฟังแต่คนที่ไม่หวังดี ไม่ปรารถนาดี ต้องบอกว่าฉลาดแบบโง่ ๆ จับแพะชนแกะไปเรื่อย แล้วเราก็หน้ามืดตามัว ไม่ได้ใช้ปัญญา เชื่อแล้วก็คล้อยตามเขาไป ว่าในหลวงทรงสร้างภาพ ทำเป็นคนดี แต่จริง ๆ แล้วกอบโกยความร่ำรวยใส่พระองค์มาตลอด

ถ้าพระองค์ต้องการจะกอบโกยไม่ต้องเสียเวลาหรอก แค่บอกคำเดียว มีคนที่พร้อมที่จะมอบกายถวายชีวิตให้นับจำนวนไม่ถ้วน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-04-2013 เมื่อ 17:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 09-04-2013, 20:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเมื่อเป็นดังนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้ยินได้ฟังมา ใช้สติยั้งคิด ใช้ปัญญาไตร่ตรอง แล้วพิจารณาดูว่าคนพูดนั้นหวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติเราจริงหรือไม่ ? มีใครสามารถสร้างภาพตัวเองได้ยาวนานขนาดนี้ ยอมเหนื่อยยากทุ่มเทกำลังกายกำลังใจมาตลอด ๖๐ กว่าปี จนป่านนี้ยังเกษียณอายุไม่ได้ ถ้าเป็นเราจะทนสร้างภาพได้นานขนาดนั้นหรือไม่ ? แค่ใช้ปัญญาที่มีเพียงเล็กน้อยตรองดู ก็จะรู้ว่าความจริงคืออะไร คนพูดหวังดี ปรารถนาดีต่อประเทศชาติจริงหรือไม่ ?

ปัจจุบันสื่อต่าง ๆ ไปได้เร็วมาก โดยเฉพาะสื่อทางอินเตอร์เน็ต บรรดาโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เรื่องทั้งหลายแพร่ออกไปเร็ว สิ่งที่เรารับเข้ามาแล้วส่งต่อไป โปรดยั้งคิดแล้วพิจารณาด้วยว่า เรากำลังสุมฟืนสุมไฟเผาประเทศชาติตัวเองอยู่หรือเปล่า ? สิ่งใดพิจารณาแล้ว
ถ้ารู้ว่าเหลวไหลไร้ประโยชน์ จะใช้วิธีเดียวกับอาตมาก็ได้ คือดีดลงถังขยะแล้วลบทิ้งถาวรไปเลย ไม่ใช่มาถึงเราก็ส่งต่อไปด้วยความมันในอารมณ์ ที่ได้รู้ว่าเรารู้เป็นคนแรก ๆ แล้วส่งต่อให้คนอื่น กลายเป็นกระจายเชื้อไฟหนักเข้าไปอีก เท่ากับตัวเราเองที่ช่วยกันสุมฟืนสุมไฟ เผาประเทศของเราจนร้อนรนอยู่ไม่ติดกันจนทุกวันนี้

ถ้าไม่ออกทางกายก็ออกทางวาจา ไม่ออกทางวาจา ใจเราก็คิด ในหลวงทรงให้เราอดทน...ทนด้วยกาย อดกลั้น..กลั้นด้วยวาจาที่จะพูดในสิ่งที่ไม่ดี ให้เราอดออม..ถนอมกำลังใจของเราเอาไว้ เก็บเอาไว้สู้กับกิเลส เก็บเอาไว้สู้กับความชั่ว เก็บเอาไว้ต่อสู้กับการดำเนินชีวิต พระองค์ท่านนำเอาหลักธรรมทางพุทธศาสนามาสอนพวกเราอยู่ตลอดเวลา แต่พระองค์ท่านดัดแปลงจนเราแทบจะไม่เห็นเค้าว่ามาจากหลักธรรมในพุทธศาสนา เพื่อให้พวกเรารับได้ง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้นส่งยามา เราเห็นว่าเป็นยาก็ไม่กินแล้ว ขนาดพระองค์ท่านส่งขนมที่เป็นยารักษาโรคมาให้ เรายังไม่ค่อยอยากจะกินเลย

พระองค์ท่านสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือหลักสันโดษดี ๆ นี่เอง สันโดษไม่ได้แปลว่าจน ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่หาได้ ถ้าหาได้เป็นพันเป็นหมื่นล้านก็หาไปสิ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ถ้ามีเงินเป็นพัน ๆ ล้านจะขี่เบนซ์ ขี่บีเอ็มก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2013 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 09-04-2013, 20:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในเมื่ออยู่ในลักษณะนั้นก็ขอให้เข้าใจว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะสมกับทุกกาล ทุกสมัย แต่ต้องปรับใช้ให้เป็น ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เสมอภาคเท่ากัน เพราะแต่ละคนสร้างความดีความชั่วมาไม่เท่ากัน ดังนั้น..คนที่มีมากต้องรู้จักแบ่งเฉลี่ยให้กับคนที่มีน้อย คนที่มีน้อยก็ต้องรู้จักขวนขวายให้กับตัวเอง ไม่ใช่รอแต่แบมือขอคนอื่นเขา ถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะลดช่องว่างระหว่างฐานะของบุคคลในประเทศชาติให้เหลือน้อยที่สุดได้

แต่ถ้าเรามัวแต่โวยวายอยู่ว่าคนรวยเอาเปรียบเรา ประเทศเราอยู่ในมือของคนรวยแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นร้องแรกแหกกระเฌอไปก็ไร้ประโยชน์ รัฐบาลปัจจุบันกระจายรายได้ออกไปสู่ชนบท เรามัวแต่ไปคิดว่าชนบทชาวไร่ชาวนาโง่..ไม่ใช่แล้ว เราจะเห็นคุณย่าคุณยายนั่งอยู่ในนาแต่เล่นโน้ตบุ๊คแล้ว บางคนก็ถือแทบเล็ต ไม่รู้ถือให้ลูกให้หลานหรือเล่นเอง เพราะฉะนั้น..คนต่างจังหวัดปัจจุบันไม่ใช่คนโง่ เขารับสื่ออย่างมีสติมากกว่าเรา และคนต่างจังหวัดรักใครรักจริง ในเมื่อเขารักใครรักจริง เวลารักในหลวงก็รักจริง ๆ รักแบบไม่มีข้อแม้ ใครทำความดีให้กับเขา วิสัยของคนต่างจังหวัดคือต้องทดแทน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลไหนสามารถกุมใจชาวบ้าน ทำดีกับชาวบ้านได้ ชาวบ้านก็จะรักและเลือกพรรคนั้นมาเป็นรัฐบาลต่อไป เคล็ดลับจริง ๆ มีอยู่แค่นี้เอง แต่หลายสิบรัฐบาลที่ผ่านมา มักจะทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ในเมื่อมีรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งเข้าใจถึงความต้องการของประชาชน กระจายรายได้ไปสู่ประชาชน ทำให้คนจำนวนหนึ่งเห็นว่าตนเองกำลังจะสูญเสียอำนาจในมือไป เพราะชาวบ้านรู้เท่าทันมากขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านมีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งพวกนายทุนต่าง ๆ แล้ว เขาก็หาทางล้มล้างรัฐบาลเหล่านั้นเสีย ทำให้ประเทศเราก้าวไปข้างหน้าไม่ได้ กดหัวชาวนาให้จนดักดานอยู่เหมือนเดิม จะได้ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้

เรื่องพวกนี้เราต้องมีสายตาที่มองเห็นด้วยว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร ว่าไปแล้วก็อย่างที่นักเทศน์บางท่านบอกว่า สาเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะ “แย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันสวาท แย่งอำนาจกันปกครอง” มีกันอยู่แค่นี้เอง ในเมื่อเป็นดังนี้ เราก็เห็นอยู่ว่าต้นเหตุมีแค่ไม่เท่าไร แก้ที่ต้นเหตุเสียทุกอย่างก็จบ

เห็นว่ารัฐบาลไหนเขาสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ทำความเจริญให้กับคนหมู่มาก ถ้าเราไม่ได้ผลประโยชน์นั้น ก็หัดรู้จักใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คือมุทิตา พลอยยินดีเมื่อเห็นชาวบ้านเขาอยู่ดีมีสุขบ้าง ถ้าสามารถทำได้อย่างนั้นเราเองก็พัฒนาตัวของเราเอง มีสภาพจิตที่สูงขึ้น มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น ประเทศชาติของเราก็จะสงบร่มเย็นมากกว่าที่เป็นในปัจจุบันนี้หลายเท่า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2013 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 09-04-2013, 20:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมาอยากให้วันเวลาเหล่านั้นมาถึงเร็วที่สุด ให้ทันในหลวงได้เห็น เชื่อว่าถ้าพวกเราทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน เรื่องเหล่านี้ก็ไม่เกินความหวัง สามารถที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าเรายังแบ่งแยกกันอยู่ ยังยึดมั่นถือมั่นในตัวกูของกู ตราบนั้นเราก็ยังมีพรรค ยังมีพวก ยังมีสีเสื้อ ประเทศของเราก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วท้ายสุดเราก็อาจจะเป็นเต่าตัวสุดท้ายที่ก้าวไม่ทันใครเลยในโลกนี้

ปัจจุบันเรารั้งท้ายของอาเซียนแล้ว การศึกษาก็แทบจะรั้งท้ายของโลกแล้ว มหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ถ้าไปจัดอยู่ในอันดับโลก ก็แทบจะไม่ติดอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ผลิตบัณฑิตซึ่งมีคุณภาพเลย เราจะเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทำให้ดีกว่านี้ได้ เพียงแต่เราต้องร่วมแรงร่วมใจ สามัคคีปรองดองกันอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม้ไผ่อันเดียวใครก็หักได้ ถ้าไม้ไผ่ทั้งกำน้อยคนที่หักได้

ฝากให้กับญาติโยมทั้งหลายไปตรองดูว่า สิ่งที่อาตมาพูดมาในวันนี้ บางทีอาจจะมีการตำหนิ ว่ากล่าว กระทบกระเทือนไปถึงพรรคการเมืองบ้าง ตัวบุคคลบ้าง ที่เราอาจจะยึดถือว่าเป็นพรรคเดียวกัน เป็นพวกเดียวกันกับของเรา แต่ขอให้ตรองดูว่าเราควรจะเห็นแก่พรรค ควรจะเห็นแก่พวก หรือควรจะเห็นแก่ส่วนรวมดี ถ้าเรารู้จักกล้าคัดค้านในสิ่งที่ผิด รู้จักสนับสนุนในสิ่งที่ถูก อาตมาเชื่อว่าการก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีความเจริญเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก ไม่ใช่สิ่งไกลเกินหวัง เพราะทรัพยากรธรรมชาติของเรามีมหาศาล

เพียงแต่ว่าตัวบุคคลยังไม่สามารถที่จะลดละกิเลสส่วนตัวให้น้อยลงกว่าในปัจจุบันได้ ทำให้ทรัพยากรไม่สามารถจะขึ้นมา เพราะถ้าขึ้นมาจะไม่ใช่สมบัติของประเทศชาติ จะไม่ใช่สมบัติของคนไทยทุกคน แต่จะเป็นสมบัติของคนที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน ถ้าทรัพยากรธรรมชาติของบ้านเราขึ้นมาพร้อม ๆ กัน อาตมาเชื่อว่ามูลค่าสามารถซื้อโลกใบนี้ได้สบาย ๆ แต่ขึ้นไม่ได้ เพราะคนเรายังไม่ดีพอ คนเรายังไม่ดีพอเพราะการพัฒนากาย วาจา ใจยังไม่เพียงพอ

ดังนั้น..เราควรที่จะพัฒนาตัวเราก่อน ถ้าตัวเราดี คนรอบข้างเห็นประโยชน์แล้วทำตาม คนรอบข้างก็จะดีไปด้วย ถ้าบ้านเราดี บ้านอื่น ๆ พัฒนาตาม หมู่บ้านนั้นก็จะไปดีด้วย หลาย ๆ หมู่บ้านช่วยกันทำ ตำบลนั้นก็จะดี หลาย ๆ ตำบลช่วยกันทำอำเภอนั้นก็ดี หลาย ๆ อำเภอช่วยกันทำจังหวัดนั้นก็จะดี หลาย ๆ จังหวัดช่วยกันทำ ประเทศไทยเราก็จะเจริญรุ่งเรือง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินวิสัย เริ่มจากตัวเราในวันนี้ ตั้งเวลาไปเลยว่า ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปีเราจะพัฒนาตนเองไปสู่จุดไหน แล้วทำให้ได้ เมื่อเวลานั้นถ้าเราทุกคนมีกาย วาจา ใจ ที่ได้รับการพัฒนาแล้วตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาตมามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ชีวิตนี้เราจะได้เห็นความเจริญอย่างคาดไม่ถึงของประเทศไทย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2013 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 14-04-2013, 12:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักครู่มีโยมท่านหนึ่งถามว่า “โง่ในขันธ์ ๕ คืออะไร ?” อาตมาตอบว่า “แปลว่าจงโง่ต่อไป..!” โง่ในขันธ์ ๕ คือการยึดร่างกาย ถ้ายึดของตัวเองก็โง่ ๑ ชั้น ถ้ายึดลูกยึดเมียก็โง่ ๒ ชั้น โง่ ๓ ชั้น จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าจริง ๆ แล้ว ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นเพียงธาตุ ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ประกอบกันขึ้นมา ให้เราที่เป็นจิตได้อาศัยชั่วคราว

เหมือนกับเราได้รถมาคันหนึ่ง เราก็ขับรถคันนั้น แต่เราไปยึดว่ารถคันนั้นเป็นของเรา ในเมื่อเป็นดังนั้นก็โดนอวิชชา คือความไม่รู้ปิดบังไว้ เขาถึงได้กล่าวว่าโง่ ซึ่งความจริงร่างกายก็เหมือนกับรถยนต์ ถึงเวลาร่างกายพังก็เหมือนกับรถพัง เราที่ทำความดีความชั่วไว้ ก็ต้องไปใช้รถคันใหม่ตามบุญตามกรรมที่ตัวเองทำมา

ถ้าสร้างความดีไว้มาก ก็ได้กายมนุษย์ที่มีความสุข ได้กายเทวดา กายนางฟ้า กายพรหม เช่นนี้ถือว่าได้รถดี ๆ มีคุณภาพ ขับขี่ได้อย่างสบายใจ ถ้าสร้างความชั่วเอาไว้มาก ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ที่ลำบากยากจน เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกก็ถือว่าขาดทุน ก็แปลว่าได้รถพัง ๆ นอกจากยี่ห้อไม่ดีแล้วคุณภาพยังใช้ไม่ได้อีกด้วย

แต่ถ้าเราสามารถทิ้งรถไปเลยโดยไม่ต้องใช้อีก ก็จะเป็นเรื่องที่น่าโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่น้อยคนที่ตัดละร่างกายนี้ได้จริง ๆ เพราะว่าในปัจจุบันแค่ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรายังดูกันไม่ออก แล้วก็ยังยึดเพิ่มมาอีก ว่านั่นสามีเรา นี่ภรรยาเรา นั่นลูกเรา นี่หลานเรา ก็เลยกลายเป็นความโง่หลายชั้นขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้นท่านที่ถามตอนนี้ก็คงจะเข้าใจแล้วว่าคำว่าโง่ในขันธ์ ๕ คืออะไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2013 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 14-04-2013, 13:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการทำบุญบ้านนั้น อันดับแรกก็คือตัวคนทำได้ซึ่งบุญกุศลนั้นไป อันดับต่อไปก็คือมีการอุทิศให้แก่เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายที่รักษาบ้าน เมื่อท่านได้รับบุญกุศลนั้นไป มีความสุขมากขึ้น มีศักดานุภาพมากขึ้น ท่านก็สามารถที่จะดูแลสงเคราะห์ให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น

อันดับต่อไป คือ ญาติโยมทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว รอซึ่งส่วนกุศลจากเรา ถ้าเราทำบุญแล้วได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไป โดยเฉพาะในเรื่องของบุญกุศลนั้น ถ้าไม่อนุญาตเขาก็ไม่สามารถที่จะโมทนาและรับสิทธิ์ในความเป็นเจ้าของได้ ดังนั้น..ถ้าเราไม่ได้เอ่ยอุทิศให้แก่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป บางทีเขาก็ได้แต่รออยู่ หลายรายก็ร้องไห้คร่ำครวญไปเลย ว่าทำไมถึงไม่อุทิศให้แก่เขาเสียที ส่วนใหญ่แล้วอาตมาเคยใช้คำพูดว่า "ตอนเป็นคนบางทีก็โง่ ไม่รู้ว่าความดีเป็นอย่างไร แต่พอตายแล้วเห็นฉลาดทุกคน" แต่ว่าตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว เพราะว่าถึงเวลาตายแล้วโอกาสทำความดีก็มีน้อย ส่วนใหญ่ก็ต้องรอคนอื่นเขาทำแล้วไปโมทนา บางทีรอแล้วรออีกเขาไม่เอ่ยถึงให้โมทนาเสียที ก็ไม่รู้ว่าจะโมทนาได้อย่างไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2013 เมื่อ 14:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 14-04-2013, 13:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลายท่านก็อุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง แต่ไปขึ้น "อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้ อุปัชฌายา คุณุตตะรา ให้แก่พระอุปัชฌาย์ผู้มีพระคุณเหนืออื่นใด อาจะริยูปะการา จะ แด่ท่านครูบาอาจารย์ที่ให้การอุปการะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา ให้แก่บิดามารดาและญาติทั้งหลาย..." กว่าจะไปถึง บางทีไม่ได้เอ่ยถึงก็เป็นอันว่าอดไป

ดังนั้น..ถ้าสามารถอุทิศส่วนกุศลเป็นภาษาไทยได้ ให้ว่าไปตรง ๆ เลย ว่าเราทำบุญครั้งนี้จะอุทิศเจาะจงให้กับผู้ใด ถ้าออกชื่อออกนามสกุลได้ ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปเลย ถ้าทำให้แก่บุคคลที่เราไม่มั่นใจก็ตั้งใจว่า เราเห็นผู้ใดก็ตั้งใจตรงให้แก่ผู้นั้น ได้ยินเสียงผู้ใดก็ตั้งใจตรงว่าให้เจ้าของเสียงนั้น ได้เฉพาะกลิ่นก็ให้ตั้งใจตรงว่าให้เจ้าของกลิ่นนั้น เขาก็จะโมทนาได้

เนื่องจากในเรื่องของผีนั้น ถ้าความสามารถไม่มากพอ ศักดานุภาพมีน้อยเพราะสร้างสมบุญกุศลไว้น้อย โอกาสที่จะปรากฏให้เราเห็นชัดเจนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ บางรายก็มาแต่เสียง บางรายก็มาแต่กลิ่น ท่านที่จะปรากฏกายให้เห็นชัดเจน ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดดึงเอาดิน น้ำ ลม ไฟรอบข้าง มารวมกันเป็นกายหยาบให้เราเห็น บางท่านก็ทำได้แค่เห็นแวบ ๆ เท่านั้น ท่านใดที่มาประเภทเดินเข้ามาเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลย โปรดทราบว่านั่นผีระดับด็อกเตอร์ทั้งนั้น..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2013 เมื่อ 14:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 14-04-2013, 13:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนมีนิสัยอย่างนี้ เวลาทำอะไรที่ไม่ดีมาก็อายพระ แสดงว่าหิริโอตัปปะยังดีอยู่ รอจนกระทั่งตัวเองคิดว่าดีแล้วถึงมา โห..! เวรกรรมจริง ๆ ตอนชั่วกว่าจะตะกายขึ้นมาดีก็แทบตายเลย

ขอย้ำว่าพระไม่ได้ดูว่าใครทำอะไรชั่ว แต่ดูว่าจะช่วยให้คนดีขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..สิ่งที่พระมองกับสิ่งที่เราคิดเป็นคนละเรื่องกัน ถึงได้เคยบอกพวกเราว่า “ตอนชั่ว ๆ ให้รีบมาหา พระท่านจะได้ช่วยได้ ถ้าดีแล้วมา...จะมาทำไม ?”"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2013 เมื่อ 14:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 14-04-2013, 13:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,264 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า วัตถุมงคลยิ่งสร้างด้วยวัสดุมีราคามากเท่าไร เทวดาที่รักษาก็ต้องมีอานุภาพมากขึ้นเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะต้องดูแลรักษาของแพงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-04-2013 เมื่อ 09:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:50



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว