กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-04-2024, 20:01
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 350
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,044 ครั้ง ใน 828 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 10-04-2024 เมื่อ 20:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-04-2024, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,692
ได้ให้อนุโมทนา: 152,019
ได้รับอนุโมทนา 4,417,885 ครั้ง ใน 34,282 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ถือว่าสิ้นสุดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เพื่อถวายพระราชกุศล แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวาระเจริญพระชนมายุ ๖๙ พรรษา คราวนี้ลำบากสามเณรที่เหลืออยู่ ยังไม่สึก เพราะว่าตอนนี้มีพี่เลี้ยงมากกว่าสามเณรแล้ว ในเมื่อคุมกันเดี่ยว ๆ นี่ คงได้ตีกันถนัดขึ้น..!

สำหรับสามเณรที่อยู่ ถือว่าเราปรับตัวให้คุ้นเคยกับระเบียบของวัดได้แล้ว ในส่วนการอบรมพิเศษอื่น ๆ ก็จะไม่มีเหมือนช่วงที่อยู่ในโครงการ แต่ว่าการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน ทำความสะอาดวัด ยังคงต้องทำเป็นปกติ

โดยเฉพาะในส่วนของสารูป คือการประพฤติปฏิบัติ อย่าให้ "ล้น" คำว่า "ล้น" ในที่นี้ก็คือซนไม่เข้าเรื่อง เพราะว่าสามเณรก็คือเชื้อสายของสมณะ เป็นปูชนียบุคคลที่ชาวบ้านเขาให้ความเคารพนับถือ ถ้าหากว่า "ล้น" เมื่อไร ก็จะมีไม้เรียวช่วยแก้ "ล้น" ให้ ซึ่งพวกเราก็เห็นอยู่แล้วว่าวัดของเรานั้นตีจริง ๆ..!

เพียงแต่ว่าพี่เลี้ยงต้องวางกำลังใจให้ถูก ว่าสิ่งที่เราทำเป็นการลงโทษสามเณรด้วยความหวังดี ปรารถนาดี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นอุเบกขาในเมตตา ก็คือตีเพราะรัก เหมือนกับพ่อแม่ลงโทษลูกที่ทำผิด ไม่ใช่ไปตีเพราะโกรธที่สามเณรทำผิด ไม่ใช่ให้อภัยบ่อย ๆ จนกระทั่งตนเองรับไม่ไหว แล้วก็ไปตีสามเณรแบบระบายอารมณ์..!

ตัวอย่างคนเก่า ๆ อย่างปลัดแป๊ะ (พระปลัดวินัย ชาคโร) ก็จะรู้อยู่ ว่าช่วงที่กระผม/อาตมภาพเป็นรองเจ้าอาวาส แล้วท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุหสมพงษ์ เขมจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาส กระผม/อาตมภาพตีเณร ญาติโยมเห็นแล้วน้ำตาไหล เพราะว่าตีด้วยสายไฟ ตี ๑ ทีได้ ๒ แผล..! น่องแตกแน่นอน บางคนก็ถึงขนาดว่า "นี่หลวงพ่อตีเณรขนาดนี้เลยหรือ ?" แต่สามเณรเรียบร้อยดีมาก ไม่มีปัญหา เพราะคุยกันไว้แล้วว่าทำอะไรผิดถึงจะโดนตี ก่อนจะตีก็มีการชี้แจงซ้ำ แล้วพูดง่าย ๆ ว่าตอนตีก็นิ่งสุด ๆ ไม่ใส่อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง เลย สามเณรจึงรับได้

แต่ท่านอาจารย์สมพงษ์ ส่วนใหญ่แล้วท่านจะให้อภัยไปเรื่อย ลักษณะเหมือนผู้ใหญ่รักเด็ก แต่พอถึงเวลาเหลือที่ตัวเองจะรับได้ ก็ไปตีเณรแบบระบายอารมณ์ สามเณรสึกหนีหมดเกลี้ยงเลย..! จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพตีเณรโหดกว่าท่านอาจารย์สมพงษ์เยอะมาก แต่สามเณรรับได้ เพราะว่าเราตีด้วยความหวังดีปรารถนาดีกับเขาจริง ๆ แล้วเรื่องที่เขาทำก็คือผิดจริง ๆ

แต่หลายท่านไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าไปให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วพอให้อภัยต่อไม่ไหว ก็ไปตีระบายอารมณ์ ซึ่งสามเณรจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดขนาดนั้น แต่ว่าโดนลงโทษแรงขนาดนั้น เพราะว่าคนตีเก็บกด คิดบัญชีรวมของเก่าไปด้วย ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่ สามเณรทำผิดแค่ไหน ต้องลงโทษแค่นั้น จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ถ้าใครรู้ตัวว่าเป็นพี่เลี้ยงแล้ววางกำลังใจผิด ให้วางกำลังใจเสียใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2024 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 11-04-2024, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,692
ได้ให้อนุโมทนา: 152,019
ได้รับอนุโมทนา 4,417,885 ครั้ง ใน 34,282 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิโพธิปัญญา มาชี้แจงให้สามเณรและผู้ปกครองทราบ ว่าทางมูลนิธิมีโครงการนำหน่อพุทธปัญญาสู่พุทธภูมิ ก็คือการบวชสามเณรแล้วส่งไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่ง จุดมุ่งหมายก็คือต้องการให้สามเณรเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น

กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ทำผิด..! เริ่มตั้งแต่การตั้งวัตถุประสงค์ก็ผิดแล้ว เนื่องเพราะว่าสามเณรยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากมายขนาดนั้น สังเวชนียสถานทั้ง ๔ สำคัญอย่างไรก็ไม่รู้ ? แล้วไปจัดโครงการแบบนี้ขึ้นมา โดยหวังว่าสามเณรจะเป็นผู้สงบกาย สงบวาจา สงบใจ ไปถึงที่ไหนก็เจริญพระกรรมฐาน สวดมนต์ทำวัตรที่นั่น ต่อให้คนจัดโครงการเองยังทำไม่ได้เลย..!

กระผม/อาตมภาพจึงได้ให้คำแนะนำว่า ให้เปลี่ยนวิธีการ ก็คือให้ทางโครงการ ถ้ามีงบประมาณเหลือเฟือ อย่าเอาไปล้างผลาญแบบนั้น เพราะว่าได้ประโยชน์น้อยมาก แต่ให้ไปสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของโรงเรียนวิถีพุทธ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นโครงการลักษณะของวัดท่าขนุน ก็คือโครงการแต่งชุดขาวไปโรงเรียนทุกวันพระ โครงการนำเด็กนักเรียนเข้าวัดทุกวันพระ หรือว่าโครงการนำเด็กนักเรียนเข้าวัดทุกวันศุกร์ อย่างที่เราทำกันอยู่เป็นปกติ

เมื่อไปสนับสนุนโครงการดังกล่าวแล้ว ให้อาศัยความสัมพันธ์ตรงนี้ ถามข้อมูลกับครูบาอาจารย์ ครูที่ใกล้ชิดเด็กมากกว่า จะรู้ว่าเด็กคนไหนที่ "มีแวว" และสนใจเรื่องแบบนี้อย่างจริงจัง แล้วเราค่อยทำหนังสือขอตัวจากโรงเรียนไปเข้าโครงการ โดยที่ระบุวัตถุประสงค์ ระยะเวลาของโครงการให้ชัดเจน แล้วถ้าจะให้ดีก็คือ เมื่อสิ้นสุดโครงการแล้ว ควรจะมีทุนการศึกษาให้กับเด็กที่เข้าโครงการด้วย

ถ้าอย่างนี้ก็จะได้ผลงานที่ดีทั้งสองฝ่าย ก็คือทางโรงเรียนได้ทำโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นวิถีพุทธ ได้หาทุนการศึกษาให้กับเด็กของตนเอง ซึ่งเป็นผลงานของทั้งโรงเรียนและทั้งครูบาอาจารย์ ส่วนทางด้านมูลนิธิก็จะได้เด็กซึ่งสนใจทางด้านนี้ มีจิตฝักใฝ่ในการเจริญพระกรรมฐาน และสวดมนต์ไหว้พระเป็นปกติอยู่แล้ว ก็จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จมากขึ้น หรือประสบความสำเร็จเกินกว่าที่เขาจะคิดถึง

ส่วนสามเณรของวัดท่าขนุนนั้น กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า ภาพที่ออกไปปรากฏว่าเรียบร้อยอย่างยิ่งนั้น เกิดจากไม้เรียวล้วน ๆ..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางเจ้าหน้าที่จะคิดว่า โครงการของตนเองดำเนินการมาดีแล้ว และยังจะทำต่อ หรือว่าจะไปเปลี่ยนแนวทางตามที่กระผม/อาตมภาพบอก ก็ต้องแล้วท่านกลับไปพิจารณากันเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2024 เมื่อ 02:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 11-04-2024, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,692
ได้ให้อนุโมทนา: 152,019
ได้รับอนุโมทนา 4,417,885 ครั้ง ใน 34,282 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง วันนี้ในกลุ่มไลน์คณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา คุณครูจำรัส คมขำ อดีตครูปกครอง ปัจจุบันเป็นกรรมการสถานศึกษา เพราะว่าเกษียณอายุแล้ว ได้นำเอาข้อมูลของโรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ซึ่งปีนี้มีเด็กสอบเข้าเรียนปริญญาตรีแพทย์ศาสตร์ได้ ๔๒ คน เอามาลงเอาไว้

บอกว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์มาก เพราะว่าทางโรงเรียนได้เน้นเด็กตั้งแต่เริ่มเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีการให้บรรดาสถานสอนพิเศษต่าง ๆ ไปเปิดสาขาในโรงเรียน กระตุ้นเด็ก นอกจากเรียนตามปกติแล้วยังมีการติว คือทบทวนวิชาเป็นพิเศษด้วย มีการสอบระดับต่าง ๆ ในอำเภออื่น หรือในจังหวัดก็ส่งเด็กไปสอบ เพื่อให้คุ้นชินกันการแข่งขัน

ครั้นเข้ามัธยมศึกษาปีที่ ๔ ก็ล้างไพ่ใหม่ ให้เด็กเก่งทั้งหมดสอบแข่งขันกันอีกที เพื่อเข้าสู่ห้องพิเศษ แล้วการดำเนินการก็ลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อเน้นในการแยกสายวิชา ว่าจะเป็นสายวิทย์ หรือว่าสายศิลป์ ถ้าเป็นสายศิลป์จะเป็นศิลป์แบบไหน ?

กระผม/อาตมภาพท้วงติงไปว่า เรื่องการแข่งขันการเรียนแบบนั้น ทำให้เด็กเครียดเสียเปล่า ๆ การสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ไม่ได้ประสบความสำเร็จ เพราะว่านั่นเพิ่งจะสอบเข้าได้ นรกที่แท้จริงยังรออยู่อีก ๖ ปีข้างหน้า..! ซึ่งเด็กที่ทนแรงกดดันไม่ไหว มีทั้งลาออก มีทั้งซึมเศร้า มีทั้งฆ่าตัวตาย
ถ้าเราจะเอาตัวอย่างของเขา ก็เอาแค่แรงบันดาลใจในการส่งเสริมการศึกษาเท่านั้น

ในฐานะคณะกรรมการสถานศึกษา กระผม/อาตมภาพให้คำแนะนำว่า โรงเรียนทองผาภูมิวิทยาของเรา ไม่ควรจะเน้นเด็กทาง IQ คือความจำ แล้วเอาไปแข่งขันกันสอบเข้า แต่ให้เน้นทางด้าน EQ ก็คือ
การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างด้วยวุฒิภาวะที่เหมาะสม ถ้าสามารถทำให้เด็กได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ จนกระทั่งสามารถต่อยอดไปเป็นอาชีพของตัวเองได้ยิ่งดี เพราะว่าบริบทของแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน ต่อให้ผู้บริหารมีแนวคิดที่เหมือนกัน ก็ไม่แน่ว่าจะจัดการได้แบบเขา

โดยเฉพาะการเรียนในปัจจุบันนั้น ความสำคัญลดน้อยถอยลงไป เนื่องเพราะว่าเด็ก ๆ สามารถค้นหาความรู้จากอินเตอร์เน็ตได้ บรรดาอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นหุ่นยนต์เทียมมนุษย์ สามารถกรอกความรู้เหล่านี้ให้เราได้ในทันทีทันใด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความมั่นคงทางอารมณ์ หรือวุฒิภาวะ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า เพราะว่าเด็ก ๆ ต้องออกไปผจญกับโลกที่โหดร้ายอย่างแท้จริงในยามที่ไปประกอบอาชีพ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2024 เมื่อ 02:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 11-04-2024, 01:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,692
ได้ให้อนุโมทนา: 152,019
ได้รับอนุโมทนา 4,417,885 ครั้ง ใน 34,282 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ปัจจุบันโลกของเราแข่งขันกันในลักษณะของ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ทำอย่างไรที่จะให้เขารักษาสภาพจิตใจของตนให้มั่นคง แล้วสามารถที่จะเห็นสถานที่ซึ่งเหมาะสมในการยืนหยัด ต่อให้ต้องแข่งขันกับคนอื่น ก็ให้แข่งในลักษณะที่ตนเองได้ทำสิ่งที่ชอบ ถ้าลักษณะนั้น ถึงจะได้ชื่อว่าเราประสบความสำเร็จในการผลิตเด็กทางการศึกษาอย่างแท้จริง

เรื่องบางเรื่อง ถ้าหากว่าพูดไป บางทีก็อาจจะขัดกับความรู้สึกของผู้บริหารทางการศึกษา ซึ่งมักจะไปดูตัวเลขความสำเร็จในการแข่งขันเบื้องต้น แต่ไม่ได้ไปติดตามดูความสำเร็จในการดำเนินชีวิตหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว ถ้ามีการติดตามลักษณะนี้ เชื่อว่าผู้บริหารแต่ละคนจะตกใจมาก เพราะเด็กที่เรียนจบระดับปริญญาตรีในประเทศไทย ร้อยละ ๗๐ เป็นอย่างต่ำ ไม่ได้ทำงานตามวุฒิที่ตนเองเรียนมาเลย..!

เรื่องพวกนี้ขอฝากเอาไว้สำหรับผู้บริหารการศึกษาระดับสูง ถ้าเป็นถึงรัฐบาลหรือรัฐมนตรีได้ก็ยิ่งดี ว่าทำอย่างไรที่เราจะปรับการเรียนการสอนของแต่ละโรงเรียน ให้เหมาะสมกับบริบทของสถานที่นั้น ๆ ไม่ใช่ไปแข่งขันกันเฉพาะความจำอย่างเดียว ต่อให้การแข่งขันกันทางความจำ แล้วคุณชนะเลิศคณิตศาสตร์โอลิมปิก ฟิสิกส์โอลิมปิกมาก็ตาม บ้านเราก็เห่อแค่ "ไฟไหม้ฟาง" วูบเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรต่อเลย แล้วแต่เด็กจะไปกันตามความสามารถของผู้ปกครองที่จะสนับสนุน หรือว่าไปตามเวรตามกรรมของตนเอง..!

เพราะฉะนั้น..นักการศึกษาบ้านเราต้องคิดให้มากกว่านี้ ต้องปรับตัวให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของทางโลก ซึ่งต้องอาศัยความมั่นคงทางจิตใจในการเข้ารับมือ จนกระทั่งบางทีอาจจะล้าหลังตกยุคไปเลย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-04-2024 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:54



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว