#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าร่วมการประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล และเลขานุการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔
เมื่อไปถึงก็ได้กราบเรียนพระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ว่า วันนี้กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะอยู่ได้ครบทั้งวัน เนื่องจากว่ามีงานนั่งปรกอธิษฐานจิตคุมธาตุในการหล่อพระ พระเดชพระคุณท่านถามว่าที่ไหน ? แล้วก็หัวเราะ บอกว่า "ผมนึกว่าที่เดียวกับที่เขานิมนต์ผมเสียอีก" เมื่อเสร็จจากการฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงได้เดินทางไปยังโรงหล่อพระนครปฐมสรวิศ (ยงค์เจริญการช่าง) ที่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เมื่อไปถึงก็ได้กราบหลวงพ่อพระครูสมุทรพิทยาคม (หลวงพ่อใจ ฐิตาจาโร) เจ้าอาวาสวัดพระยาญาติ ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ตอนนี้บอกว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้ว หลังจากนั้นก็รับการกราบจากบรรดาพระเถรานุเถระ โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม หรือท่านอาจารย์บ๊ะ วัดโพธิ์ลังกา เมื่อได้เวลา ท่านอาจารย์บ๊ะก็ให้พวกเราเข้าที่ เพื่อทำการหล่อพระพุทธรูปตามฤกษ์ที่ได้วางไว้ เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพได้ทำการพรมน้ำมนต์และโปรยดอกไม้รอบบริเวณพิธี หลังจากนั้นก็ขอตัวเดินทางกลับ เพราะว่าถ้าช้ามีหวังได้รถติดกันตายไปข้างหนึ่ง..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถนนหนทางช่วงนครชัยศรีนั้น น้ำเริ่มหลากท่วมข้ามถนนแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดจากฝาย หรือว่าอ่างเก็บน้ำทางภาคเหนือแตก แล้วดันน้ำทะลักลงมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ล้นออกมาทางคลองงิ้วรายหรือเปล่า ? จึงทำให้มีน้ำท่วมข้ามถนน ทำให้รถเล็กต้องค่อย ๆ คลานไป จึงติดยาวเหยียดเนิ่นนานมากเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงวัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี กระผม/อาตมภาพก็รีบเข้าสู่ระบบซูมมีตติ้งออนไลน์ เพื่อร่วมสัมมนาในหัวข้อ "ความเข้าใจพระอภิธรรมในสังคมยุคปัจจุบัน" ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีล้านช้าง ซึ่งในที่นี้กระผม/อาตมภาพได้ตั้งคำถามกับทางด้านพระอาจารย์ผู้บรรยายไปหลายข้อ ซึ่งจะสรุปมาให้พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า พระอภิธรรมนั้นเป็นธรรมหมวดพิเศษ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้แสดงแก่บุคคลทั่วไป หากแต่แสดงแก่พระพุทธมารดา ตลอดจนกระทั่งพรหมเทวดาทั้งหลาย โดยขึ้นไปแสดงถวายพระพุทธมารดาและพรหมเทวดาทั้งหลายที่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก โดยใช้ระยะเวลานานถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2022 เมื่อ 01:05 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า เวลาบนสวรรค์กับเวลาบนโลกมนุษย์นั้น สวรรค์แต่ละชั้นมีความต่างจากโลกมนุษย์ของเรา ยิ่งชั้นสูงมากก็ยิ่งต่างกันนานมาก ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับว่า เวลาที่เรามีความสุข แล้วทำให้เวลานั้นผ่านไปโดยไม่ทันจะรู้ตัว รู้สึกว่าครู่เดียว ทำไมถึงผ่านไปนานขนาดนั้น ? ดังนั้น..ไม่ว่าจะสวรรค์หรือพรหม ยิ่งชั้นสูงขึ้นไปเท่าไร ระยะเวลาก็ยิ่งเนิ่นนานห่างจากวันเวลาในโลกมนุษย์เท่านั้น
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นชั้นต่ำสุดนั้น ๑ วันของสวรรค์ชั้นนี้เท่ากับ ๕๐ ปีของโลกมนุษย์ ถ้าหากว่าเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๑ วันของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เท่ากับ ๑๐๐ ปีของโลกมนุษย์ เป็นต้น ในเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเทศน์โปรดพระพุทธมารดาและพรหมเทวดาที่จัดเป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล คือแสดงแค่หัวข้อธรรมก็สามารถเข้าใจได้ ยังต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วถ้าหากว่าทรงแสดงที่โลกมนุษย์เป็นระยะเวลา ๓ เดือน คิดว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดที่สามารถฟังได้ตลอด ๓ เดือนบ้าง ? พระอภิธรรมจึงเป็นธรรมะหมวดพิเศษที่ไม่ได้เหมาะสมกับมนุษย์ทั่วไป หากแต่ว่าเหมาะสมกับอุคฆฏิตัญญูบุคคลที่ฟังหัวข้อก็เข้าใจแล้ว อย่างเช่นว่า กุสลาธัมมา ธรรมอันเป็นกุศลนั้น ประกอบด้วยอะไรบ้าง ? ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะทราบว่า ต้องประกอบไปด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เหล่านี้เป็นต้น แล้วก็ยังจะแยกออกไปว่า กายสุจริตนั่นก็คือ การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีสุจริตก็คือ การไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ มโนสุจริตก็คือ การมีความเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนั้นเป็นสิ่งดี เราควรที่จะทำตาม เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2022 เมื่อ 01:07 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่ามาแจกแจงละเอียดแล้ว มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถที่จะรับได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็เพื่อให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลที่รับฟังในตอนนั้น ๆ แต่ละคนนั้นย่อมรับธรรมได้ไม่เสมอกัน หลักธรรมที่เหมาะสมกับแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ยกเว้นว่าท่านที่สร้างบารมีมาใกล้เคียงกัน จึงสามารถรับฟังหลักธรรมที่เหมือนกัน แล้ว สามารถเข้าถึงมรรคเข้าถึงผลได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะพระอภิธรรมนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้ทรงพิจารณาทบทวนพระอภิธรรมนี้อยู่ถึง ๗ วัน เราทั้งหลายต้องเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบไปด้วยปัญญาจักษุ ก็คือดวงตาแห่งปัญญา สมันตจักษุ ก็คือดวงตาที่รู้ได้ครบถ้วนทุกด้าน ถ้าหากว่าเปรียบกับการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ในโลกปัจจุบัน ก็คงต้องเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ "เทียนกง" ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถประมวลผลได้เร็วเท่ากับสภาพจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ? แล้วสภาพจิตระดับยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดนั้น ยังต้องใช้เวลาประมวลผลทบทวนอยู่ถึง ๗ วัน ท่านทั้งหลายคิดว่าพระอภิธรรมจะเหมาะสมกับท่านหรือไม่ ? ส่วนใหญ่ฟังไปแล้วก็ "มึนตึ๊บ" ไม่เข้าใจว่า กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตาธัมมา นั้นคืออะไร ? แล้วท่านทั้งหลายที่พยายามที่จะไปศึกษาจิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตมีกี่ดวง ? เจตสิกมีกี่ดวง ? เหล่านี้เป็นต้น จึงทำให้ท่านทั้งหลายยิ่งศึกษาก็ยิ่งออกห่างจากหลักธรรมไปทุกที เพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้สอนไกลไปจากร่างกายนี้เลย พระอภิธรรมนั้นเมื่อกล่าวโดยย่อก็คือรูปกับนาม เมื่อรูปกับนามมารวมกันเป็นขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ถ้าหากว่าเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เราก็จะประกอบไปด้วยความทุกข์ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา จนหลับตาลงไป โดยเฉพาะไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นกายสังขาร คือรูปนี้ให้เราอาศัยอยู่ตามบุญตามบาปชั่วคราวเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2022 เมื่อ 01:11 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะศึกษาในส่วนของพระอภิธรรม ก็ให้ศึกษาโดยลักษณะของการ โอปนยิโก คือ น้อมนำเข้ามาพิจารณาในกายของเรานี้ ไม่ต้องไปสนใจว่าสิ่งนี้เรียกว่าหลักธรรมอะไร ? สิ่งนี้เรียกว่าหัวข้ออะไร ?
แต่ให้ดูว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด มีความทุกข์เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะ คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ประกอบไปด้วยความทุกข์ ก็คือทั้งทุกข์โดยสภาพ ทั้งทุกข์ที่จรเข้ามา ตลอดจนกระทั่งทุกข์เนืองนิตย์ที่ปรากฏอยู่ ไม่ว่าทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องปรากฏแก่เราเฉพาะหน้าในแต่ละเวลา แต่ละนาที โดยเฉพาะเมื่อไม่มีอะไรให้เรายึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเราไปยึดอยู่ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เราก็จะยิ่งทุกข์หนัก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเราไปแบกเอาไว้ ก็เท่ากับว่าเราไปรับเอามาทุกอย่าง คนที่ค่อย ๆ เพิ่มภาระ เพิ่มสิ่งของที่ตนเองแบกขึ้นไปเรื่อย ก็มีแต่จะหนักมากขึ้นไปเรื่อย จนท้ายที่สุดก็อาจจะโดนสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นทับตาย..! ก็แปลว่า ถ้าท่านทั้งหลายไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่ละ ในเรื่องของ กาย วาจา ใจ ของเรา ซึ่งยึดมั่นถือมั่นต่อร่างกายนี้อยู่ ก็มีแต่จะพาให้ท่านแบกหาบความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เมื่อว่ากล่าวไปแล้ว ก็ทำให้ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าอันดับแรกก็คือสติ สมาธิ ปัญญาของเรายังไม่ถึงในระดับที่จะทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยเด็ดขาด ประการที่สองก็คือ ท่านทั้งหลายที่จ่อมจมอยู่กับความทุกข์นั้น มักจะโดนอวิชชา คือความมืดบอดมาปิดบังปัญญาที่จะเห็นธรรมเสียแล้ว จึงทำให้บุคคลที่เมตตาบอกกล่าวซึ่งหลักธรรมทั้งหลายเหล่านี้ว่า ให้ปล่อย ให้วาง แต่ท่านทั้งหลายเมื่อมืดบอดแล้ว ถึงได้ยินได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยอย่างไร ? จะวางอย่างไร ? เหตุเพราะว่าสภาพจิตยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ยอมแบกจนตายคาที่ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ถ้าเป็นเช่นนั้น แม้ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังต้องวางเอาไว้ก่อน โดยกล่าวเป็นภาษาบาลีว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่พระตถาคตเจ้าก็ยังเป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น เมื่อบอกไปแล้ว ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ นำไปปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถปล่อยได้ ละได้ วางได้ ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนเท่าไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับการสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา ของแต่ละคน ว่ามีของเก่า ตลอดจนกระทั่งของใหม่รวมกันแล้วได้เท่าไร สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-10-2022 เมื่อ 14:59 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|