หลวงปู่หล้าพักปฏิบัติอยู่กับองค์หลวงตาได้ประมาณ ๒ เดือนแล้ว การจับไข้ก็ยังกลับคืนมา ไม่พอจะหายขาดแท้ เมื่อเป็นดังนี้ จึงจำเป็นต้องลาไปปฏิบัติคนละแห่ง องค์หลวงตาก็เห็นดีด้วยทั้งหัวเราะทั้งพูดว่า
“ให้ออกไปทุ่งทางสกลนคร ให้ไปกางกลดกางมุ้งอยู่กลางทุ่ง เดินจงกรมภาวนาตากแดดอยู่ ชะรอยธาตุขันธ์มันจะชอบอากาศโปร่ง”
ถึงจุดนี้ หลวงปู่หล้าได้กล่าวถึงความลึกซึ้งขององค์หลวงตา ตั้งแต่ครั้งยังศึกษาอยู่กับหลวงปู่มั่นนั้น แม้เพียงคำปรารภก็เป็นคติแก่ผู้ฟัง ดังนี้
“...ดูคำเทศน์ขององค์ท่าน (พระอาจารย์มหาในครั้งนั้น) ขันมาก เป็นคติไปแบบลึก ๆ ชวนให้หวนคิดพิจารณาจับใจ จึงได้จำไว้ไม่ลืมเลย เพราะธรรมดาองค์ท่านปรารภอะไรเป็นอุบายให้ผู้ฟังมีคติทั้งนั้น ไม่ใช่พูดแบบคติโลกล้วน ๆ มีลีลานัยอยู่ในตัว (เช่น)
แบบหยิกแกมหยอกแบบนี้ ถ้าผู้ฟังล้อเข้าไปแบบเลียปาก จะถูกศอกกลับหลัง เข่าพร้อมนับสิบไม่ลุก
แบบบรรจงตรงไปตรงมานี้ก็แบบหนึ่ง แบบนี้จะฝืนกระเบียดหนึ่งไม่ได้ เพราะได้ทุ่มเทแบบบรรจงแล้ว
แบบขู่ทำท่าทำทาง แบบนี้ต้องนิ่งฟังโดยเคารพ จะอุทธรณ์หรือพูดแก้ตัวในขณะนั้นไม่ได้ ต้องแก้ความประพฤติของตัวลับหลัง ท่านหากสังเกตเองว่า ท่านเทศน์เผ็ด ๆ ร้อน ๆ แล้วมันได้ผลไหม ท่านต้องสังเกตอยู่หลายวัน แต่ผู้ใดโง่ก็เข้าใจว่าท่านไม่สังเกต
แบบปลอบโยนนิ่มนวล แบบนี้มี ๒ นัย นัยหนึ่งหมดหวังหมดวิชาแล้ว ถ้าไม่นิ่มนวลไว้มันจะเพ่งโทษมาก มันจะเป็นบาป แต่ตัดทิ้ง ไม่ยอมสอนอีกต่อไป นิ่มนวลแบบหนึ่งยังจะสอนต่อไปอีกอยู่
แบบทำกิริยาขึงอยู่เป็นนิจ แบบนี้เราต้องทำท่าไม่สนใจว่าท่านขึงใส่เรา เราทำดีเรื่อยไป หากแก้ตกอยู่ในตัว
แบบหนึ่งวางเฉยไม่พูดด้วย แต่ไม่ขึงไม่บึ้ง แบบนี้เราแก้เราไปก็หาย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2013 เมื่อ 14:56
|