ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 16-01-2017, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,163
ได้รับอนุโมทนา 4,405,533 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราจะเอาศีลของเรามาเป็นเครื่องพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา ก็คือศีลนั้นเป็นเครื่องป้องกันเราไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นให้ทุกข์ยากลำบาก ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียนเราจนได้รับความทุกข์ยากลำบาก ก็แปลว่าเราเกิดมาเมื่อไรก็ตาม ก็จะต้องโดนผู้อื่นเบียดเบียนอยู่เสมอ ถ้าเกิดมาเมื่อไรก็ต้องโดนเบียดเบียนอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เป็นความทุกข์เช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเราไม่มีความต้องการในตรงจุดนี้ ก็ต้องเอาใจเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติภัยอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็ให้ทุกท่านประคับประคองรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติเอาไว้ ถ้ายังกำหนดลมหายใจอยู่ได้ ก็กำหนดลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป อย่าไปพยายามทำให้เป็นอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนออกจากสภาพนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้เฉย ๆ ให้ทุกคนรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้ไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2017 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา