มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาใหญ่ ๒ แห่งของประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เปิดโอกาสให้ญาติโยมเข้าศึกษาสาขาวิชาต่าง ๆ องค์ผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัย ก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงระบุไว้เป็นพระราชพินัยกรรมว่า ให้สอนพระไตรปิฎกและวิชาการศึกษาชั้นสูง
เมื่อเปิดมหาวิทยาลัยมาโดยมีพระราชประสงค์ดังนั้น ก็ยังมีการมาตีความกันอีกว่า วิชาการชั้นสูงคืออะไร ? หลายคนก็บอกว่าเปิดหลักสูตรปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกไปเลย ก็ใช่นะ..แต่ก็ไม่น่าจะใช่มหาวิทยาลัยของพระ ดังนั้น..มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็เลยตีความว่า วิชาการชั้นสูงก็คือ วิปัสสนากรรมฐาน จึงมีการบังคับนักศึกษาให้ต้องปฏิบัติธรรมทุกปี
เมื่อเป็นดังนี้มหาวิทยาลัยของพระจึงมีจุดต่างกับของญาติโยมอยู่ ก็คือ มีการบังคับการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็นเราก็จะสอนจนเป็นให้ได้ เพียงแต่ว่าเป็นแล้วจะเข้าถึงได้แค่ไหนเท่านั้น มีญาติโยมบางคนที่จบการศึกษาปริญญาโทแล้วมาเปิดใจว่า วิชาการที่เขาเรียนไปก็อย่างนั้นแหละ ที่อื่นก็มีเหมือน ๆ กัน ไปเรียนจากที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เขาได้ และได้ใช้ไปตลอดชีวิตก็คือวิปัสสนาภาวนา
ทางประเทศฮังการีเที่ยวมาสืบหามหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าร่วมเป็นสถาบันการศึกษาสมทบในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เขากางรายชื่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้วไล่สอบถามทีละมหาวิทยาลัย พอไปถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถามว่าหลักสูตรที่จะต้องศึกษามีอะไรบ้าง ? ท่านเจ้าคุณอธิการรูปปัจจุบัน (พระธรรมโกศาจารย์) ก็ร่ายยาวไปเลยว่า หลักสูตรปริญญาโทมีอย่างนี้ ปริญญาเอกมีอย่างนี้ ถึงเวลาต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมเท่านี้ จึงจะให้จบ
ปรากฏว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮังการีบอกว่าใช่..ที่เขาต้องการคือแบบนี้ ต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาภายในด้วย ไม่ใช่ศึกษาแต่ภายนอกอย่างเดียว ในเมื่อเป็นดังนี้ เราจะเห็นชัดว่าแม้กระทั่งต่างประเทศก็เน้นเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนาภาวนากันแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2012 เมื่อ 03:00
|