"คราวนี้สิ่งที่ปิปผลิมาณพหรือพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานีมองเห็น คนส่วนใหญ่ในโลกนี้มองไม่เห็น ท่านหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ พวกเราไม่หลุดพ้นเพราะว่าเรามองไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ไม่เกิดความเบื่อหน่ายอย่างท่าน
อาตมาเองพอเห็นคู่บ่าวสาวคู่นั้นแล้วคิดว่า ธรรมดาของโลกเป็นอย่างนี้ เขาเห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เห็นความไม่ใช่ตัวตนเป็นตัวตน ก็เลยเดินบิณฑบาตไปปลงอนิจจังไป ยังคงเป็นภาระที่เราต้องเหนื่อยอีกมาก กว่าที่จะชี้แจงให้เขาเห็นแบบเดียวกันได้
ไปนึกถึงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงเกิดความขวนขวายน้อย ไม่อยากจะแสดงธรรม เพราะเห็นว่าหลักธรรมนี้ลึกซึ้งมาก ยากที่ปุถุชนจะเข้าถึงได้ (ปุถุชนคำนี้แปลว่าผู้หนาด้วยกิเลส) ท้าวสหัมบดีพรหมพอทราบดำริก็ตกใจว่า มนุษย์โลกทั้งหลายจะฉิบหายจากความดีเสียแล้ว จึงลงมากราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรม โดยใช้คำว่า สัตว์โลกที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่ อาจรู้ทั่วถึงธรรมของพระองค์ได้ ขอให้พระองค์ได้โปรดแสดงธรรมเถิดพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าถึงได้รับอาราธนา แล้วก็ตรัสสอนสัตว์โลกมาตลอด ๔๕ ปีเต็มจนปรินิพพาน เพราะฉะนั้น...ส่วนใหญ่คำว่า วิปลาส ที่แปลว่าเห็นผิดไปจากความจริง มีทิฏฐิวิปลาส...เห็นผิด จิตวิปลาส...คิดผิด จิตวิปลาสนี่เราถือว่าบ้าแน่ ๆ ในบาลีมีความหมายแค่คิดผิด คิดเห็นว่าสิ่งนี้เป็นความสุข คิดเห็นว่าสิ่งนี้เที่ยงแท้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-08-2019 เมื่อ 01:56
|