พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่อาตมาเป็นเด็กอยู่บ้านนอกเคยเกิดข้าวยากหมากแพงอยู่ ๒-๓ ครั้ง ใหม่ ๆ พ่อแม่ต้องเอาเผือกบ้าง มันบ้าง ฟักทองบ้าง ผสมกับข้าวให้พอกิน ไป ๆ มา ๆ ไม่มีข้าวจะกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เก็บไว้ทำพันธุ์มากิน
ข้าวโพดสมัยก่อนเรียกว่าข้าวโพดเทียนหรือข้าวโพดม้า เอาไว้เลี้ยงสัตว์ ในเมื่อแก่และตากแห้งมาเป็นปี เอามานึ่งกินก็เหมือนกับเคี้ยวกระดาษดี ๆ นี่เอง ไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่ก็ต้องกินให้อิ่ม
หน้าหนาวผ้าห่มก็มีผืนเดียว พี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งกันซุกเข้าไป พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็เป็นห่วง กลางดึกมาถึงก็พับ ๆ ให้เป็นแถวยาว ๆ แล้วเอาพาดแค่หน้าอก กลัวเด็กจะเป็นโรคปอดบวมเพราะหนาว พวกเราก็ต้องแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ พอพ่อแม่ลับตาไปก็รีบคลี่ออกมาห่มใหม่ หนาวทั้งตัวแล้วเอามาพาดแค่หน้าอก ตอนนั้นพื้นบ้านยังเป็นดินอยู่ เพราะว่าไม่มีซีเมนต์ ข้างฝาเป็นไม้ไผ่ขัด กันลมไม่ได้ หนาวมาก ต้องก่อกองไฟกลางบ้าน แล้วก็เอาผ้าห่มมากางล้อมกันอยู่รอบกองไฟ ผิงไฟจนผิวแตกเป็นริ้ว ๆ ถึงเวลาเผลอ..ง่วงสัปหงกทีหนึ่งก็ผมไหม้เป็นแถบ
เดี๋ยวนี้อากาศย่ำแย่มาก ๆ เด็กบ้านนอกอย่างอาตมาทนได้ แต่คนกรุงเทพฯ จะแย่ ได้ข่าวว่าหนาวตายที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง รวม ๆ กันแล้วหลายศพ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-02-2016 เมื่อ 19:28
|