จากนั้นพระพุทธองค์ ก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนต่อดังนี้
๑. อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้รู้เป็นอันขาด เพราะธรรมทั้งหลายที่พวกเจ้ารู้ได้เวลานี้ เป็นการสงเคราะห์ของพระ ยังไม่ใช่ความรู้ธรรมที่แท้จริง อันซึ่งต้องเกิดจากจิตที่พิจารณาธรรมด้วยปัญญา ยอมรับนับถือในธรรมทั้งปวง และจักต้องละกามฉันทะและปฏิฆะได้แล้ว นั่นแหละจึงจักเป็นของจริง
๒. พวกเจ้าจักต้องปรามจิตเอาไว้เสมอ อย่าเผลอกล่าวธรรมเป็นเชิงอวดอ้าง อวดวิเศษทั้ง ๆ ที่ยังปฏิบัติมิได้ผล
๓. ต่อไปนี้ พวกเจ้าไม่ว่าจักคิด จักพูด จักทำอะไร จงให้ศีล สมาธิ ปัญญา ควบคุมอยู่ในเวลานั้น อย่าให้บกพร่องแม้แต่เรื่องเดียว
๔. ศีล สมาธิ ปัญญาจักละเอียดขึ้นได้ ก็อยู่ที่เอามาใคร่ครวญอยู่เสมอ การพิจารณาในขณะที่จักกระทำกรรมอยู่นั้น เป็นการทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นในจิตพร้อม ๆ กันทั้ง ๓ สิกขาบท พวกเจ้าจึงจักมีความก้าวหน้าในอริยมรรค อริยผลยิ่งขึ้น (จิตก็สงสัยว่าศีลและปัญญานั้นใคร่ครวญได้ แต่สมาธินั้นใคร่ครวญอย่างไร)
|