โดยเฉพาะเมื่อเกิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ปี ๒๕๐๕ ขึ้นมา ระบุว่าพระสังฆาธิการคือตั้งแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสขึ้นมา มีหน้าที่ในการบริหารงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน ก็คือ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ด้านการเผยแผ่ ด้านการสาธารณูปการ คือการก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ก็คือช่วยเหลือแก่ญาติโยมทั้งหลายในเรื่องของการเรียนการศึกษา และด้านสาธารณสงเคราะห์ให้ทำกิจเพื่อประชาชนทั่วไป
เนื่องจากว่าพระเถระในสมัยนั้นเห็นว่า พระเราจะเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในวัดเพื่อปฏิบัติธรรมโดยส่วนตัวไม่ได้แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องออกมาเป็นผู้นำแก่ประชาชนต่าง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงกลายเป็นว่า สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายได้น้อมนำมาถวาย ซึ่งปกติแล้วก็เป็นแค่ปัจจัย ๔ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และ ยารักษาโรค นั้น กลายเป็นว่าส่วนหนึ่งพระภิกษุสงฆ์ต้องกระทำแทน
เมื่อพระภิกษุสงฆ์ต้องกระทำแทน เรื่องของปัจจัยไทยธรรมกลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา แต่ว่าในพระวินัยของพระระบุไว้ชัด โดยเฉพาะในข้อที่ ๘ ของโกสิยวรรค นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ระบุไว้ชัดว่า ภิกษุรับเงินและทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินและทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2017 เมื่อ 20:01
|