ดูแบบคำตอบเดียว
  #56  
เก่า 19-06-2012, 08:40
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,550 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


ปฐมฤกษ์แห่งการภาวนา

ในช่วงเริ่มต้นของการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ไว้ว่า
“...ท่านพระครูฯ ท่านชอบภาวนานะ ท่านให้เราไปอยู่ในโบสถ์ด้วยกัน ท่านอยู่เตียงนอนหลังพระพุทธรูป พวกเราก็นอนในโบสถ์นั่นแหละ แต่เป็นหน้าพระพุทธรูป ออกไปโน่น.. ประตูออกโน่น พวกนาค ๒ - ๓ คนนอนอยู่โน่น ท่านสวดมนต์เก่งนะ แล้วก็ภาวนา

ตื่นเช้าออกมาตั้งแต่ตี ๔ ท่านออกไปเดินจงกรมที่หน้าโบสถ์ มันโล่งหมดนะ แต่ก่อนเราเป็นนาค เราเห็นอยู่ ท่านออกไปเมื่อไหร่เราก็เห็นอยู่ เวลาท่านเดินจงกรม เราคอยสังเกตดูอยู่

เมื่อบวชแล้ว เราจึงเดินจงกรม แล้วไปถามคำภาวนากับท่าน เราไม่ลืมนะ เพราะเราชอบภาวนา
“กระผมอยากภาวนา อยากจะเดินจงกรม อยากจะนั่งภาวนาจะต้องทำอย่างไร..?” เราถามท่าน

ท่านพระครูฯ ตอบ “เออ..ให้ภาวนาว่า พุทโธนะ เราก็ภาวนาพุทโธ เหมือนกันแหละ”

“แล้วท่านพระครูฯ นั่งภาวนาสวดมนต์ล่ะ”

“อ้อ! เราสวดมนต์หลายบทหลายสูตร” ท่านพระครูฯ ว่าอย่างนั้น..

เมื่อทราบดังนี้ ภิกษุบวชใหม่ก็จับใจความได้ทันที แล้วน้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติของตนบ้าง ท่านยังเล่าถึงความตั้งใจในช่วงอุปสมบทใหม่นี้เพิ่มเติมด้วยว่า
“...ท่านพระครูฯ ก็สอนเท่านั้น เราก็ไปภาวนาพุทโธด้วยความเลื่อมใส พอใจในการภาวนา อยู่กุฏิใหญ่ทางด้านทิศเหนือ กลางคืนดึก ๆ จะลงมาเดินจงกรมทุกคืนนะ... แม้บวชมาใหม่ ๆ แต่นิสัยชอบภาวนา นิสัยอันนี้มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ไม่มีใครสอนมัน หากเป็นอยู่ในจิต มันแปลกมากเรื่องนี้...

เวลาจะหลับจะนอนจะเหลือเวลาไว้ คือหยุดจากการอ่านหนังสือจะเหลือเวลาไว้ ๑ ชั่วโมง เพื่อนั่งภาวนาทุก ๆ คืน... สมมุติว่าจะพักนอนตี ๒ ตอนตี ๑ จะหยุดอ่านหนังสือก่อนแล้วต้องทำสมาธิภาวนา ตั้งใจพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ

ชั่วโมงนั้นแหละ เป็นชั่วโมงภาวนาเป็นประจำนะ... ถึงเวลาก็ลงมาเดินเงียบ ๆ จากนั้นก็นั่งภาวนาแล้วก็หลับ...”

หลังจากสอบถามท่านพระครูฯ แล้ว ท่านก็ทดลองภาวนาตามลำพัง ดังนี้
“...เราก็เอาพุทโธมาภาวนาตามประสีประสา ไม่คาดไม่ฝันไม่คิดไม่อ่านว่า มันจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมา ก็พุทโธ ๆ วันนี้ วันนั้นไปตามประสาอย่างนั้นแหละ โอ๋ย.. บทเวลามันจะเป็น พุทโธ ๆ สติติดอยู่นั้น สักเดี๋ยวกระแสของจิตที่มันคิดฟุ้งซ่านเหมือนเราตากแหนี่

ที่นี้พอจิตจะเริ่มสงบก็เหมือนเราดึงจอมแห พุทโธ ๆ นี่เหมือนจับจอมแหดึงเข้ามา ตีนแหก็หดเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นกองแห ทีนี้กระแสของจิตมันรวมตัวเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นกองความรู้ที่อยู่เป็นจุดเดียว เท่ากับกองแหที่นี่

นี่ละ พอมันเข้ามาถึงนี้กึ๊กเท่านั้น โถ.. เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลืมนะ นี่ละเป็นปฐมฤกษ์แห่งการภาวนาของเรา พอเข้าถึงนั้นกึ๊กจะว่าเป็นสมาธิ ไม่สมาธิพูดไม่ถูกนะ พอเข้านั้นกึ๊กขาดหมดเลยโลกอันนี้ ปรากฏไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์สุดส่วน คือใจดวงนั้น ขาดออกหมดนะ... อารมณ์ทั้งหลาย ขาดหมด

เกิดความอัศจรรย์ ตื่นเต้น ความตื่นเต้นในความอัศจรรย์ เลยไปกระตุกธรรมชาตินั้นเสีย รวมไม่ได้นานนะ คือขาดไปหมดจริง ๆ เหมือนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร เรามีที่นั่งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือว่ามีเกาะ ว่าเกาะก็กว้างไป เหมือนว่าที่นั่งกลางมหาสมุทร
มันอัศจรรย์เกิดคาดเกินหมาย โถ.. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้’

นี่เราเป็นทีแรกนะ คือค่อยหดเข้ามา ๆ พอกิริยาของจิตหดเข้ามา สติยิ่งจ่อเข้า ๆ เข้ามาถึงจุดกลางกึ๊กเท่านั้น ทีนี้มันจ้าอยู่ภายในเจ้าของ

อัศจรรย์อันนี้เหมือนว่าขาดหมด เรื่องอารมณ์ของโลกนี้ปรากฏขาดไปหมดในเวลานั้น เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา ตื่นเต้น

ความตื่นเต้นละไปกระตุก ไม่ใช่อะไรนะ คือมันไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ ความตื่นเต้นความอัศจรรย์ไปกระตุก จิตเลยถอนขึ้นมาเสีย โหย... เสียดาย เสียจนวันหลังขยับใหญ่เลย ไม่ได้เรื่อง ๆ...”

กล่าวถึงเรื่องการภาวนาและกรรมฐาน ท่านมีความเคารพเลื่อมใสมาแต่เดิมแล้ว ตั้งแต่บวชทีแรกที่วัดโยธานิมิตรแห่งนี้ หากเห็นพระกรรมฐานมาพักด้วย ท่านจะต้องรีบไปถึงก่อน เพื่อจะได้พูดคุยเรื่องธรรมะ เรื่องจิตกับท่านทันที

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 11:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา