ดูแบบคำตอบเดียว
  #9  
เก่า 18-05-2009, 22:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,510
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,093 ครั้ง ใน 34,100 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านผู้อ่านเอย...เมื่อทั้งสามท่านนั่งสามเส้ามีพ่อนั่งตรงกลาง เราจึงได้เห็นอำนาจวาสนาบารมีและภาระรับผิดชอบของพ่อ พ่อพูดนำให้ลูก ๆ ที่ตามขบวนไปให้รู้จักอานิสงส์ของการทำบุญกับพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ พ่อพูดไม่มีติดขัดเสียงกังวานกินใจ หลวงปู่คำแสนนั่งยิ้มมองพ่อทำงานแบบ 'โมทนาด้วย ช่วยเหนื่อยแทนหน่อย' หลวงปู่ชุ่มนั่งสงบสำรวม เหมือนนั่งสบายคนเดียวในป่าร่มรื่นในโลกของท่านเอง

ต่างองค์ต่างทำหน้าที่ ต่างองค์ต่างเป็นสุขอิสระตามธรรมชาติของตนเอง นาน ๆ ครั้ง ก็จะหันมามองทางญาติโยมลูกหลานที่มาทำบุญกับท่าน มองยิ้มสนิทใจ เหมือนยิ้มพรมไปบนดอกไม้ที่ท่านได้ปลูกฝังรดน้ำมากับมือ

ใจเราเอย...ขณะนั้นใจเราอยากจะเป็นพระอรหันต์ อยากบวช อยากยิ้มเย็นสนิทเหมือนท่าน แม้ต้องแลกด้วยทุก ๆ อย่างในโลกที่เราครอบครอง รวมทั้งชีวิตของเราด้วย เราจะยอมแลกกับผ้ากาสาวพัสตร์

เราปรารถนาจะบวชอุทิศแด่พระรัตนตรัย เราจะเดินตามรอยเท้าพ่อและพระอรหันต์ทั้งหลาย เราปรารถนาพระนิพพาน
จากวันนั้น..ถึงวันที่นั่งเขียนอยู่นี่กี่ปีแล้วหนอ...(๒๕๔๔) ๒๔ กว่าปีแล้ว เหตุการณ์นั้นแม้จะผ่านไปแล้ว แต่ภาพเหตุการณ์ของบุญวาสนานั้นยังสะอาดแจ่มใส ยังสามารถนึกถึงกลิ่นธูป กลิ่นจีวร กลิ่นน้ำหมาก

นี่กระมังที่มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า กลิ่นแห่งศีลนั้นหอมทวนลม ขจรขจายไปได้ไกลแสนไกล ยิ่งมาได้ไออุ่นของพระธรรมจากใจของพระคุณเจ้าสามพี่น้องมาอบรมผสมผสานเข้าไปด้วย จึงได้หอมมานานขนาดนี้หนอ

จากพิธีออกจากนิโรธสมาบัติวันนั้น ผู้เขียนได้พบและปรนนิบัติหลวงปู่ชุ่มและหลวงปู่คำแสนเล็กอีกหลายวาระ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ 'บ้านซอยสายลม'ของพวกเรานั่นแหละ จะเล่าสู่กันฟังตามลำดับเหตุการณ์จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา