ดูแบบคำตอบเดียว
  #409  
เก่า 19-04-2020, 06:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,765 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ขอบรรลุมรรคผลในชาติปัจจุบันนี้ อย่างน้อยให้เป็นพระโสดาบันที่ประกอบด้วย สุกขวิปัสสโก วิชา ๓ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ" สรุปว่าท่านเข้าใจไหมว่าคุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ?

ผู้ที่บรรลุมรรคผลประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ย่อมมีความสามารถครอบคลุมอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโกอยู่แล้ว คำอธิษฐานของท่านออกไปในแนวภาษิตจีนที่ว่า "ถอดกางเกงผายลม" คือ เกินความจําเป็นไปมาก

ผู้ที่บรรลุมรรคผลแบบสุกขวิปัสสโก ไม่มีวิสัยที่จะได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ตามวาสนาบารมีที่สั่งสมมา ถ้าท่านต้องการรู้ครบทุกอย่าง ได้ครบทุกอย่าง ก็อธิษฐานขอบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณไปเลยจะดีกว่าไหม ? เพราะว่ามีทางที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องรู้ครบทุกอย่าง เพื่อใช้ในการสั่งสอนและขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร

การเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใดทั้งสิ้น เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณ ๔ นั้น เป็นคุณสมบัติสำหรับอนาคามีบุคคลขึ้นไป ไม่ใช่วิสัยของพระโสดาบัน

การจะเข้านิโรธสมาบัติก็เช่นกัน เป็นคุณสมบัติสำหรับบุคคลที่เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เท่านั้น
แปลว่า พระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล สุกขวิปัสสโกบุคคล วิชชาสามบุคคล ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-04-2020 เมื่อ 06:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา