"สำหรับพวกเราก็เอาเรื่องสมาธิเป็นใหญ่ เพราะศีลเรารักษาเป็นปกติอยู่แล้ว เน้นสมาธิของเรา ทำให้ยาวนานขึ้น ทำให้มากขึ้น เคยทำเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็รู้ว่าไม่พอกินแล้ว คนจะไปพระนิพพานต้องทำมากกว่านั้น ก็ขยายระยะเวลา อาจเป็นเช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง
ถ้ารู้สึกว่าไม่พอขยายเวลาเป็น ๔๐ นาที ๔๕ นาที ๕๐ นาที ๑ ชั่วโมงก็ได้ จะกระทั่งท้ายสุดพอสภาพจิตชิน ก็สามารถที่จะขังธรรมะอยู่ในใจได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง พอมีธรรมะมานั่งอยู่ในใจ กิเลสก็เข้ามาไม่ได้แล้ว เพราะใจมีดวงเดียว เมื่อใจมีความดี ความชั่วก็เข้าไม่ได้ คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือพิจารณาให้เห็นว่า ดีจริง ๆ ก็ยังไม่หลุดพ้น ความดีก็ยังทำให้เราติดอยู่แค่เทวดาแค่พรหมเท่านั้น คราวนี้ก็ต้องถอนดีออก ถ้าปัญญาถึง ถอนดีเป็นเรื่องเล็กเลย วางกองอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปยุ่งกับดี อย่าไปยึดดี รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ไปได้แล้ว ฟังดูง่ายดีนะ
สภาพจิตถ้าปล่อยวาง ความหนักก็ไม่มี ถ้าไม่หนักใจเสียอย่างเดียว ความหนักทางกายย่อมไม่มี ดังนั้น..อาตมาจึงได้บอกหลายครั้งว่า ถ้าปฏิบัติแล้วยังหนักอยู่ ยังไม่ถูกทางจริง ให้พยายามทำไปเรื่อย ๆ ถ้าเบาเมื่อไรก็เริ่มได้ทางแล้ว ถ้าเข้าถึงจริง ๆ คราวนี้วางหมด ไม่มีอะไรให้แบก..สบาย..ทุกอย่างก็สักแต่ว่าทำไปตามหน้าที่ ทำไปตามเวลา อันไหนที่สมมติทางโลกเขาว่าดี เราก็ทำของเราไปเรื่อย อยู่กับสมมติทางโลก ก็เคารพตามสมมติไป ทำถึงที่สุดก็จบกันแค่นี้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2013 เมื่อ 01:52
|