เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้วก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ หลัก ๆ ก็คือ อานาปานสติที่เราจะทิ้งไม่ได้ เพราะว่าเป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง หลังจากนั้นก็ต้องแผ่เมตตาเป็นปกติเพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้ชุ่มชื่นเยือกเย็นอยู่เสมอ เมื่อกำลังใจของเราภาวนาจนไปต่อไม่ได้แล้ว กำลังใจเริ่มคลายออกมา ก็พยายามพินิจพิจารณาในร่างกายนี้ให้เห็นชัดเจนว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร
ในระหว่างนั้นก็ระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ถ้าเราตายลงไป เราปรารถนาพระนิพพานที่เดียว
เมื่อท่านทั้งหลายทบทวนและเพียรพยายามทำให้ถึงจุดหมายดังที่ว่านี้ เรื่องของพระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝัน เรื่องของมรรคผลยังมีอยู่เป็นปกติ ถ้าหากว่าเราทำดี เราทำถูก โอกาสที่เราจะเสวยมรรคเสวยผลก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2016 เมื่อ 15:24
|