คราวนี้ก็จะมาสู่ขั้นตอนที่ลำบาก เพราะว่าถึงเวลานั้นกำลังใจของเราจะเริ่มมั่นคง เมื่อกำลังใจของเรามั่นคง สมาธิเริ่มทรงตัว ภาพจะปรากฏ ลำบากตรงไหน ? ก็ลำบากตรงความเคยชินของเรา เราเห็นภาพด้วยตาจนเคย พอถึงเวลาภาพปรากฏ เราอยากจะให้ชัดมากกว่านั้นโดยที่ไม่ได้นึกถึงข้อจำกัด
ข้อจำกัดคือ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นอะไรชัดโดยตลอด ไม่มีอะไรปิดบังเหมือนอย่างกับพระอาทิตย์ยามเที่ยง
พระปัจเจกพุทธเจ้า มองเห็นได้อย่างกับพระจันทร์คืนวันเพ็ญ ก็ยังมีที่หลบมุมได้บ้าง..ใช่ไหม ?
พระอัครสาวก มองเห็นได้อย่างกับคบไฟดวงใหญ่ ถึงสว่างอย่างไร รอบข้างก็ยังมืดอีกเยอะ
พระอริยเจ้าทั่ว ๆ ไป มองเห็นได้อย่างกับแสงเทียนดวงน้อย
ของเราถ้าได้มโนมยิทธิจริง ๆ ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า คือ ทรงฌานโลกีย์ มองเห็นได้อย่างกับเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ
ทีนี้ลักษณะโพล้เพล้ใกล้ค่ำ บางครั้งก็เหมือนกับค่ำสนิทจริง ๆ แล้วเราไม่นึกถึงข้อจำกัดตรงนี้ ก็จะใช้สายตาไปเพ่ง เพื่อให้ภาพชัดขึ้น การใช้สายตา จะต้องนึกถึงตา นึกถึงตาคือนึกถึงตัว เท่ากับเราดึงจิตย้อนกลับ ภาพก็จะหายไป เราก็มานั่งกลุ้มว่า ทำไมภาพถึงหายไป ? ยิ่งฟุ้งซ่านก็ยิ่งหาภาพไม่เจอ พอใจเราสงบภาพก็จะมาปรากฏอีก เราก็เพ่งอีก แล้วก็หายไปอีก ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นักปฏิบัติติดกันมาก
อาตมาเองก็ติดอยู่เป็นปี ๆ จนกว่าจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของเราก็ถูกต้องแม่นยำดีอยู่แล้ว ภาพนี้จะปรากฏหรือไม่ปรากฏก็ช่างเถอะ เราพอใจแค่นี้แหละ เห็นก็เอา ไม่เห็นก็เอา ถ้าอย่างนั้นภาพจะปรากฏแล้วทรงตัวอยู่ได้นาน
คราวนี้นึกออกไหมว่าของเราผิดพลาดตรงไหนถึงไม่ได้สักที ? อย่าบอกนะว่าทุกขั้นตอน จำไว้ว่า "อย่าอยากจนเกินไป"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2015 เมื่อ 14:11
|