ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 07-12-2010, 03:13
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,483 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default

คราวนี้ก็จะมาสู่ขั้นตอนที่ลำบาก เพราะว่าถึงเวลานั้นกำลังใจของเราจะเริ่มมั่นคง เมื่อกำลังใจของเรามั่นคง สมาธิเริ่มทรงตัว ภาพจะปรากฏ ลำบากตรงไหน ? ก็ลำบากตรงความเคยชินของเรา เราเห็นภาพด้วยตาจนเคย พอถึงเวลาภาพปรากฏ เราอยากจะให้ชัดมากกว่านั้นโดยที่ไม่ได้นึกถึงข้อจำกัด

ข้อจำกัดคือ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เห็นอะไรชัดโดยตลอด ไม่มีอะไรปิดบังเหมือนอย่างกับพระอาทิตย์ยามเที่ยง
พระปัจเจกพุทธเจ้า มองเห็นได้อย่างกับพระจันทร์คืนวันเพ็ญ ก็ยังมีที่หลบมุมได้บ้าง..ใช่ไหม ?
พระอัครสาวก มองเห็นได้อย่างกับคบไฟดวงใหญ่ ถึงสว่างอย่างไร รอบข้างก็ยังมืดอีกเยอะ
พระอริยเจ้าทั่ว ๆ ไป มองเห็นได้อย่างกับแสงเทียนดวงน้อย
ของเราถ้าได้มโนมยิทธิจริง ๆ ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า คือ ทรงฌานโลกีย์ มองเห็นได้อย่างกับเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ

ทีนี้ลักษณะโพล้เพล้ใกล้ค่ำ บางครั้งก็เหมือนกับค่ำสนิทจริง ๆ แล้วเราไม่นึกถึงข้อจำกัดตรงนี้ ก็จะใช้สายตาไปเพ่ง เพื่อให้ภาพชัดขึ้น การใช้สายตา จะต้องนึกถึงตา นึกถึงตาคือนึกถึงตัว เท่ากับเราดึงจิตย้อนกลับ ภาพก็จะหายไป เราก็มานั่งกลุ้มว่า ทำไมภาพถึงหายไป ? ยิ่งฟุ้งซ่านก็ยิ่งหาภาพไม่เจอ พอใจเราสงบภาพก็จะมาปรากฏอีก เราก็เพ่งอีก แล้วก็หายไปอีก ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่นักปฏิบัติติดกันมาก

อาตมาเองก็ติดอยู่เป็นปี ๆ จนกว่าจะทำใจได้ว่า ก่อนหน้านี้ความรู้สึกของเราก็ถูกต้องแม่นยำดีอยู่แล้ว ภาพนี้จะปรากฏหรือไม่ปรากฏก็ช่างเถอะ เราพอใจแค่นี้แหละ เห็นก็เอา ไม่เห็นก็เอา ถ้าอย่างนั้นภาพจะปรากฏแล้วทรงตัวอยู่ได้นาน

คราวนี้นึกออกไหมว่าของเราผิดพลาดตรงไหนถึงไม่ได้สักที ? อย่าบอกนะว่าทุกขั้นตอน จำไว้ว่า "อย่าอยากจนเกินไป"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2015 เมื่อ 14:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา