ดูแบบคำตอบเดียว
  #49  
เก่า 10-08-2018, 19:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,702
ได้รับอนุโมทนา 4,397,155 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ใช่ แต่คราวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ยิ่งสาวจะยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียดไปเรื่อย ถ้าปัญญารู้ไม่เท่าทันก็ลำบาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบว่าใหม่ ๆ เหมือนเรายิงช้าง ตัวใหญ่ยิงง่าย แต่พอถึงเวลาก็เล็กลงไปเรื่อย ๆ เป็นเสือ เป็นกวาง เป็นเก้ง เป็นหนู ท้ายที่สุดดันเป็นยุง...!

เรื่องของปัญญาต้องเท่าทันจริง ๆ ถ้าปัญญาเท่าทันจะเห็นชัดเจนว่า นั่นคือสิ่งที่ใหญ่และจัดการได้ง่าย แต่ถ้าปัญญาไม่เท่าทัน อนุสัยกิเลสนี่เราควานไม่ถึงหรอก การปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านเปรียบเหมือนกับตัดต้นไม้ เราตัดต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ล้มลง ฟ้าสะท้านดินสะเทือนเลย แต่ปรากฏว่าพอขุดลงไปรากเยอะกว่ากิ่งข้างบนอีก แล้วยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งเล็กลง ๆ ๆ ถ้าหากว่าตัดหมดได้จริง ๆ นั่นก็คือหลุดพ้นเลย


ถาม : จะละอนุสัยกิเลสได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สติ สมาธิ ปัญญา สร้างสติด้วยอานาปานสติให้มั่นคง จนกระทั่งทรงเป็นฌาน พยายามสร้างฌานให้มีความคล่องตัว ชนิดเข้าเมื่อไรออกเมื่อไรก็ได้ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ละอย่างเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร พอเห็นทุกข์โทษชัดเจน จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ค่อย ๆ ถอนห่างออกมา ถ้าห่างขาดกันไปเลยก็จบ

ถาม : จริง ๆ แล้วเกิดจากการที่เราปล่อยให้เกิด ?
ตอบ : ก็คือถ้าหยุดการปรุงแต่งก็จะจบ แต่ถ้าหยุดไม่ได้ ตาเห็นรูปคิด หูได้ยินเสียงคิด จมูกได้กลิ่นคิด ลิ้นได้รสคิด กายสัมผัสคิด คิดชอบก็กลายเป็นราคะ เป็นโลภะ คิดไม่ชอบก็เป็นโทสะ เป็นโมหะ กินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วทำอย่างไร ? เราก็ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถจัดการกับกิเลสได้ก็อย่าไปทำเพิ่ม

เมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา สั่งสมกำลังสมาธิจนพอ ค่อยหันไปฟัดกับกิเลส ใช้ตัวปัญญาเป็นเครื่องประกอบว่า เราจะไปมุมไหนแง่ไหนเราถึงจะชนะ แล้วก็ค่อย ๆ ตัด ค่อย ๆ ละไปทีละเล็กทีละน้อยตามกำลังของเรา จนกระทั่งถ้ากำลังเพียงพอ สติสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ตัดละกันไปทีเดียว ถึงเวลานั้นญาณคือเครื่องรู้จะเกิดขึ้น ท่านบอกว่า ญาณัง โหติ ขีณา ชาติวุสิตัง ญาณปรากฏขึ้น รู้ว่าสิ้นกิเลสแล้ว
การเกิดไม่มีอีกแล้ว พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง จบพรหมจรรย์ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีกแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นฆราวาสละครับ ?
ตอบ : ก็ไม่มีอะไร ก็ทำไป ถ้าหากว่าจบจริง ๆ ก็หมดธุระก็ตายภายในไม่เกิน ๗ วัน ไม่มีอะไรต้องห่วงต้องกังวล ถึงเวลาเราตายจริง ๆ ก็ไม่มีใครเขามาอยู่ดูหรอก ว่าใครจะจัดการอะไรให้เรา เพราะว่าไปแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะทุ่มเทอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ควรจะไปบวชเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ขนาดนั้น อยู่ในระหว่างนี้ ก็คงได้แต่ประคับประคองรักษาอารมณ์ไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 20:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา