ดูแบบคำตอบเดียว
  #270  
เก่า 06-03-2015, 14:12
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,842 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บ้าหลงสังขาร

องค์หลวงตากล่าวถึงการปฏิบัติของท่าน หลังออกจากสมาธิเข้าสู่การพิจารณาทางด้านปัญญา จนถึงภาวะที่จิตพ้นจากกามกิเลสไปแล้ว ท่านว่าจากนั้นก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ซึ่งหมุนแล้วเป็นเกลียวเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมเท่านั้น ดังนี้

“... รอไม่ได้เลย หมุนติ้ว ๆ สติปัญญาอัตโนมัตินี้ คือสติปัญญาแก้กิเลส ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน เว้นแต่หลับเท่านั้น พอตื่นนอนขึ้นมา สติปํญญานี้จะจับงานอัตโนมัติของตนแล้วเป็นลำดับลำดา นี่คือสติปัญญาอัตโนมัติทำงาน แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ ทีนี้เรื่องความพากความเพียรที่เราจะหมุน อย่างที่ว่าเพียรพยายามถูไถกันไป อย่างนี้ไม่มีในวงที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ มีแต่หมุนตัวไปเองเพื่อความพ้นทุกข์ ๆ แก้กิเลสโดยอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนแก้ตลอด ๆ ไม่มีคำว่าพัก


‘โห.. เอาเสียจนบางคืนนอนไม่หลับเลยนะ เป็นคืนสองคืน นอนไม่หลับ’…”

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ท่านว่ามันยิ่งเห็นโทษเห็นภัยของกิเลสอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็เห็นคุณค่าของความหลุดพ้น มีน้ำหนักเท่า ๆ กัน เมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างธรรมกับกิเลสจึงไม่มีวันที่จะยอมแพ้กันได้เลย ท่านเล่าอย่างถึงใจว่า

“... มันก็พุ่งน่ะสิ มีแต่ว่าตายเท่านั้น เรื่องแพ้ไม่พูดเลย แพ้ก็ต้องแบกหามลงเปลไปเลย ที่จะให้ยกมือยอมแพ้นั้นไม่มี ซัดกันขนาดนั้น.. ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้วมันไม่รู้จักหยุด ไม่ว่าเวล่ำเวลา ร้อนหนาว มันไม่ได้สนใจ คือจิตมันอยู่ที่นี่ มันไม่ได้ออกนะ ออกไปตามดินฟ้าอากาศนี้ไม่ได้ ออกไปหาร่างกายนี้... วันหนึ่งมันก็ไม่ได้ออก มันฟัดกันอยู่ภายใน เหมือนนักมวยเข้าวงใน ว่างั้นเถอะนะ ใครจะไปสนใจเรื่องความเจ็บความปวด มันไม่สนใจนะ


อันนี้กิเลสมันเข้าวงในนะ ระหว่างธรรมกับกิเลส... ฟัดกันวงในมันเป็นอย่างนี้ หมุนติ้ว ๆ เดินจงกรมตั้งแต่ฉันอาหารเสร็จแล้ว จนกระทั่งถึงเวลาปัดกวาดตอนเย็นนะ มันเดินได้ยังไง คือมันไม่รู้เวล่ำเวลา

จนกระทั่งเวลาหยุดจากทางจงกรมแล้ว มองเห็นกาน้ำมันจะตายเลย มันไม่ได้กินน้ำ โดดคว้ากาน้ำมารินนี้ กลืนนี้ โห.. กลืนไม่ทัน สำลัก กั๊ก ๆ ๆ เวลามันฟัดกันนี่ ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ เวลาออกมาแล้ว มาเห็นกาน้ำนี่สิ โอ้โห.. โดดใส่เลยเชียวนะ มันจะตาย แหม.. มันขนาดนั้นนะ

เราไม่ถึงฝ่าเท้าแตก แต่ออกร้อน โอ้โห.. เหมือนไฟลนแหละ พอมาถึงที่พักถึงรู้นะ ตอนนั้นไม่รู้ แดดก็ไม่รู้ร้อน มันไม่สนใจกับแดดกับฝนอะไร แต่ไม่ได้เคยตากฝนเดินจงกรม แต่ตากแดดนี่เคยแล้ว เราเอาผ้าอาบน้ำมาพับครึ่งแล้วก็มัดผูกบนศีรษะนี้ แล้วก็เอาผูกใส่คางเหลือแต่ตา

เดินจงกรมกลางแจ้งทีเดียวบนไร่ร้างสวนร้างเขา เอากันอยู่นั่น ไม่มีร่มเลย ร่มไม่ร่ม.. ช่างหัวมัน ฟาดลงนั้นเลย ทำได้นะ ไม่สนใจกับร้อนกับหนาวอะไรเลย เพราะอันนี้มันรุนแรงภายในใจ

นี่.. แล้วไม่ใช่เดินอยู่วันหนึ่งวันเดียว นั่นซี.. มันเป็นประจำของมันอย่างนั้น พอเข้าทางจงกรมแล้วเท่านั้นแหละ ไม่มีเวล่ำเวลานาทีมายุ่งกวน มีแต่อันนี้ฟัดกันอยู่ภายใน หมุนติ้ว ๆ เราก็เดิน ก็เดินไปยังงั้นล่ะ แต่ทางนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา เดินสะเปะสะปะไปตามเรื่องของมัน ที่นี้เดินไม่หยุดสิ วันนี้ก็เดิน วันหน้าก็เดิน.. หลายวันต่อหลายวัน...

เดินจงกรมไม่รู้จักหยุด.. ไม่รู้ว่าเหนื่อยว่าอะไร เพราะมันหมุนติ้ว ๆ อยู่นี่ งานอยู่นี้เดินไป บางทีเดินจงกรมนี้ โน่น.. เซซัดเข้าไปในป่าโน้น โครมครามในป่าโน้นเพราะจิตมันไม่ออก ตาก็มืดมัวไปหมดละซี มีแต่ขาก้าวไป ๆ ก็เข้าไปโน่น แล้วออกมาอีกที..เอาอีกอยู่งั้น คำว่าน้ำท่าอะไร ๆ ไม่สนใจทั้งนั้นเมื่อถึงขั้นตะลุมบอนกัน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2015 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา