"พอมารุ่นหลวงปู่ยิ้ม หลวงพ่อวัดท่าซุงไปขอเรียนวิชากับท่าน ท่านก็บอกว่าอย่าเอ็ดไป เดี๋ยวคนรู้หมด หลวงพ่อท่านแวะไปหาเวลากลางคืน ไปแบบไม่มีตัว แล้วก็กราบเรียนว่ากลางวันจะมาหา ถึงเวลาหลวงปู่ยิ้มก็นั่งรอ..แสดงว่ารู้จริง
พอหลวงปู่ยิ้มมรณภาพ หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ ท่านบอกว่าหลวงปู่ยิ้มมีกำปั่นอยู่ใบหนึ่ง กำปั่นก็คือหีบใส่เงินหรือใส่เสื้อผ้าสมัยก่อนที่เป็นไม้ฝาโค้ง ๆ แล้วก็มีเหล็กรัด ตั้งแต่หลวงปู่ยิ้มได้กำปั่นใบนั้นมา ท่านลั่นกุญแจเสร็จแล้วโยนกุญแจทิ้งน้ำไปเลย อยู่ในคลองเจ้าเจ็ดนั่นแหละ ใครมีปัญญาไปงมเอา เพราะว่าได้ปัจจัยจากโยมมาเท่าไรท่านยัดใส่กำปั่นไปเรื่อย
หลวงพ่อให้กรรมการวัดช่วยกันงัดกำปั่นออกมานับเงิน ปรากฏว่าเงินที่อยู่ก้นกำปั่น เปื่อยจนนับไม่ได้ไปเสียเยอะ ธนบัตรสมัยรัชกาลที่ ๗-๘ เปื่อยเสียเยอะ ก็ถามหลวงพ่อว่าทำไมหลวงปู่ยิ้มถึงทำอย่างนั้น? ท่านบอกว่าหลวงปู่ยิ้มเป็นพระที่ไม่มีความโลภในใจแล้ว แต่ท่านไม่มีงานอื่นทำ ในเมื่อคนทำบุญกับท่าน ท่านก็อยู่เป็นเนื้อนาบุญให้เขาทำไป ครบอายุขัยก็ไปตามกาลตามเวลา
เงินเท่าไรท่านก็ไม่ได้เอาออกมาหรอก เพราะว่ากุญแจท่านโยนทิ้งน้ำไปแล้ว ก็เป็นเงินสงฆ์อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ให้กรรมการงัดออกมาตรวจนับกันก็ไม่รู้ว่าหลวงปู่มีปัจจัยเท่าไร แต่จะว่าไปแล้วท่านก็ช่วยงานคณะสงฆ์ไว้เยอะ เพราะท่านเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอ
ในรุ่นเดียวกัน อาจจะเห็นว่าหลวงปู่ปานก็เป็นพระครู หลวงปู่ยิ้มก็เป็นพระครู หลวงปู่จงไม่ได้เป็นอะไรกับใครแต่ดังกว่าเยอะ ถ้าหลวงปู่ปานไม่มรณภาพก่อน อยู่ถึงช่วงญี่ปุ่นยึดประเทศไทย คงจะต้องดังกว่านั้นอีกมาก หลวงปู่ปานมรณภาพไปก่อนตั้ง ๗ ปีกว่าสงครามจะเลิก"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2012 เมื่อ 15:56
|