ในส่วนของการปฏิบัตินั้น เราต้องสร้างเสริมสติ โดยเฉพาะอานาปานสติ คือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออก ถ้าอานาปานสติคล่องตัว ก็จะเกิดกำลังจากสมาธิ เมื่อสมาธิทรงตัว จิตใจสงบแนบแน่น ปัญญาก็เกิดได้ง่าย เมื่อสติระลึกรู้ว่า ทางนี้เป็นหนทางที่ผิด ก็จะใช้สมาธิระงับยับยั้งไม่ให้ก้าวไปยังหนทางนั้น และใช้ปัญญาตรึกตรองดูว่า แล้วหนทางที่ถูกเป็นอย่างไร ? เมื่อเห็นว่าหนทางที่ถูกนั้นเป็นทางใดแน่ ก็จะมุ่งตรงไปยังทางนั้น
ดังนั้น...ในสิ่งที่ผู้ถามถามว่า รู้อยู่ว่าต้องทำหน้าที่อะไร แต่ว่าไม่มีกำลังใจที่จะไปทำ ก็คาดว่าจะเป็นในอย่างที่ ๒ ก็คือปล่อยให้กิเลสมีอำนาจมากกว่า เรียกว่าแต่ละวันหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้กำหนดสติตามดูตามรู้ในลมหายใจเข้าออกของตนจนมั่นคงเพียงพอ ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็จะต้องแพ้กิเลสไปเรื่อย ๆ และอาจจะหมดกำลังใจที่อยากจะทำความดีไปเลย
เพราะฉะนั้น...ท่านทั้งหลายที่เข้ามาปฏิบัติธรรม คงจะเคยได้ยินอาตมาพูดหลายครั้งแล้วว่า คำตอบแทบทุกประการจากการปฏิบัติธรรมนั้น อยู่ที่ตัวสมาธิแทบทั้งสิ้น ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ต้องใช้ปัญญาในการตัดกิเลส แต่ก็ยังต้องอาศัยกำลังจากสมาธิช่วยตัดกิเลสอยู่ดี พวกเราจึงไม่ควรทิ้งอานาปานสติอย่างเด็ดขาด เพราะอานาปานสติหรือว่าลมหายใจเข้าออก เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง เป็นกำลังช่วยกดกิเลสให้นิ่ง บั่นทอนกำลังกิเลสให้น้อยลง และช่วยให้เราตัดละกิเลสได้ง่ายขึ้น
เมื่อทราบถึงสาเหตุแล้ว ก็ให้เร่งปฏิบัติในอานาปานสติให้จริงจังกว่านี้ เพื่อที่จิตจะได้มีกำลังต่อต้านกระแสกิเลสได้ ไม่ไหลไปตามอารมณ์ใจใฝ่ต่ำอย่างเดียว
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:48
|