ดูแบบคำตอบเดียว
  #181  
เก่า 30-01-2011, 23:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แค่ฟังก็รู้สึกว่าไกลเหลือเกินครับ
ตอบ : อาตมาขี้เกียจอธิบาย เพราะพูดละเอียดไม่ได้ ถ้าพูดละเอียดก็สามวันสามคืน เอาแค่ผิว ๆ พอให้เข้าใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างนี้

จริง ๆ แล้ว ถ้าเราจะเอาอีก ก็ยังมีอดีตเหตุและปัจจุบันผล อดีตเหตุ คืออวิชชาที่พาให้เราเกิด ปัจจุบันผล ก็คือเรื่องของตัณหา ความทะยานอยาก

ปัจจุบันเหตุ ก็คือตัณหาและอุปาทาน ทำให้เกิดอนาคตผล ก็คือชาติชรามรณะฯ ยิ่งคิดยิ่งละเอียด เสียเวลาคิด ไม่ใช่งานของเรา เป็นงานของพระพุทธเจ้า

ถึงเวลาที่เราไล่ปฏิจจสมุปบาท เราส่วนมากไล่ลงมาด้านเกิดอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องมีการไล่ย้อนกลับให้ไปด้านดับ ในเมื่อเราเลิกเกิด--->ภพก็ไม่มี เพราะเราไม่เอา ในเมื่อไม่มีภพ--->ตัณหาตัวอยากก็ไม่มี..ไล่ไปจนถึงท้ายสุด แม้แต่อวิชชาก็ไม่มี ขึ้นหน้าแล้วต้องถอยหลังเป็นด้วย

อย่างวันก่อนที่อธิบายว่า ไม่รู้จักพระนิพพานแล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าพระนิพพานมีจริง ? ก็ในเมื่อเราไล่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าไม่มีแล้ว ก็ต้องไล่ย้อนกลับมา สิ่งที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ก็มีอย่างแน่นอนคือพระนิพพาน แค่นี้ก็จบแล้ว เพียงแต่ว่าปัญญาต้องถึง ถ้าปัญญาไม่ถึงก็จะไปยึดเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา ที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2011 เมื่อ 05:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา