การรู้เห็นต่าง ๆ นั้น อาตมาอยากจะใช้คำว่า "เป็นของแถมในการปฏิบัติ" ถ้าหากว่าทำถึง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะมาเอง ไม่ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้าก็มา แต่เราก็มักจะไปติดอยู่กับของแถม โดยลืมไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเราคืออะไร ดังนั้น...ในการปฏิบัติของเราทุกคนจึงต้องระมัดระวังการรู้เห็นเอาไว้เป็นอย่างยิ่ง ว่าแทนที่จะพาให้หลุดพ้น ก็จะพาเรายึดติดยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เมื่อทราบแล้วก็ขอให้ทราบว่า ในเรื่องของบรรลุมรรคผลนั้น เราต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย ถ้าหากว่าตายเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ไม่มีกติกาข้อไหนว่าต้องรู้เห็น ไม่มีกติกาว่าต้องระลึกชาติได้ ไม่มีกติกาว่าต้องรู้อดีต ต้องเห็นอนาคต ไม่มีกติกาว่าต้องรู้ใจคนอื่น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่กล่าวมาจึงเป็นของแถมอย่างแท้จริง เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็ขอให้เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ตั้งเป้าหมายในการปฏิบัติให้ตรงเสียใหม่ ว่าการปฏิบัติของเราเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อให้เหลือกิเลสในใจของเราให้น้อยที่สุด ถ้าสามารถหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเรา แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้เต็มที่ ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ทำไปถึงไหน ยังห่างจากเป้าหมายใกล้ไกลเท่าไร ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ถ้าเรามีการไตรตรองทบทวนไว้เสมอ ๆ เราก็จะไม่พลาดจากเป้าหมายที่เราตั้งไว้แต่ต้น
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้สัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-07-2016 เมื่อ 17:51
|