ชื่อกระทู้: การรบกับกิเลส
ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 19-04-2009, 03:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,507
ได้ให้อนุโมทนา: 151,364
ได้รับอนุโมทนา 4,405,909 ครั้ง ใน 34,096 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราพัฒนาไปในลักษณะที่ว่านี้ แก้ไขจุดอ่อนของตัวเองไปเรื่อย ๆ พยายามแสวงหา กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ไปเรื่อย เราก็จะชนะมากกว่าแพ้ คราวนี้..แหม..เราเริ่มเหยียบโลกได้เต็มฝ่าเท้า แต่อย่าเผลอนะ เผลอเมื่อไรเหยียบพลาด..ร่วงอีก จนกระทั่งท้ายสุดไปถึงเป้าหมายที่พวกเราหวัง ก็คือพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ถ้าอย่างนั้นทุกคนเท่ากับเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก

ตำราเขาบอกว่า ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่ปกครองโลก มีความสุขเพราะไม่มีใครเป็นศัตรูกับพระองค์ท่าน ความสุขทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน ถ้าหากในการรบ...ต้องยกพลขึ้นบกให้ได้ ถ้ายังลอยลำอยู่ในทะเลอยู่ โอกาสตายมีเกินร้อย เพราะฉะนั้น..จะยกพลขึ้นบก ต้องยึดหัวหาดอันดับแรกให้ได้ คือ อารมณ์พระโสดาบัน ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้มั่นคง ให้เคารพในส่วนของคุณพระรัตนตรัยแท้ ๆ ไม่ใช่ 'กราบพระพุทธก็ติดทองคำ กราบพระธรรมก็ติดคัมภีร์ กราบพระสงฆ์ทีไรก็ติดแต่ลูกชาวบ้าน'

ทำอย่างไรจะให้เรามองเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นคุณพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง ก็ต้องเกิดจากการปฏิบัติของเรา การปฏิบัติถ้าหากเราอยู่กับสติสมาธิในปัจจุบัน สามารถรู้ลมหายใจได้ตลอด หายใจเข้าผ่านจมูก ผ่านอก ลงไปสู่ท้อง หายใจออกจากท้อง ผ่านอก มาสู่ที่ปลายจมูก ใครทำอย่างนี้ได้อาตมาขอยืนยันว่า นั่นเป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เพียงแต่ว่าท่านจะทรงได้นานแค่ไหนเท่านั้นเอง

ถ้าหากเราสามารถทรงเป็นปฐมฌานละเอียดได้ ก็จะรู้ลมเองโดยอัตโนมัติ สติจะรู้รอบ กำลังของสมาธิจะกดไฟใหญ่สามกอง คือ รัก โลภ โกรธ หลงดับลงไปชั่วคราว เพราะว่ารักกับโลภเขาจัดเป็นกองเดียวกัน ทันทีที่ไฟทั้งสามกองใหญ่ดับลงชั่วคราว ความสุขอย่างไม่เคยปรากฏในชีวิตจะปรากฎขึ้น ถ้าเราใช้ปัญญาเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ก็จะรู้ว่านี่เราเป็นโลกียบุคคลแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงฌานลาภีบุคคล ก็คือบุคคลผู้ทรงฌานได้ ก็แค่ปฐมฌานเท่านั้น เด็ก ป.๑ เท่านั้น...! ยังมีความสุขขนาดนี้ ท่านที่ทรงฌาน ๒ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? ฌาน ๓ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? ฌาน ๔ จะสุขมากกว่านี้เท่าไร ? แล้วความสุขของท่านทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้ความสุขส่วนเสี้ยวหนึ่งของพระโสดาบัน

ในเมื่อพระโสดาบันมีความสุขขนาดนั้นแล้ว พระสกทาคามีที่ รัก โลภ โกรธ เบาบางจนแทบไม่เหลือแล้ว ท่านจะสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่ตัด รัก โลภ โกรธ ได้อย่างแท้จริงเหลือแต่ความหลงเพียงเล็กน้อย จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอรหันต์ที่พ้นกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิง ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมพระอรหันต์ พระองค์ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?

เราก็จะเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริงในตอนนี้ คราวนี้การกราบไหว้ ก็จะกราบไหว้ออกจากใจจริง ไม่ใช่สักแต่เพียงกราบให้ครบ ๓ ครั้งเท่านั้น แต่เป็นการกราบพร้อมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เมื่อเอ่ยคำว่า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เราก็จะน้อมไปทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้า ขอยึดพระธรรม ขอยึดพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ก็จะยึดจริง ๆ กายก็ยึด วาจาก็ยึด ใจก็ยึด ถ้าอย่างนี้การก้าวถึงความเป็นพระโสดาบันของเราก็ไม่ยากแล้ว เพราะว่ากำลังใจที่เคารพขนาดนั้น จะให้ล่วงเกินด้วย กาย วาจาและใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลังไม่มีแน่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-06-2017 เมื่อ 16:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา