เรื่องพวกนี้ผมพูดไปบางทีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าหลายอย่างที่ผมพูด ท่านทั้งหลายก็ยังคงไปทำตามปกติ มีอยู่คราวหนึ่งปลัดตั้มท่านบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมยังไม่เคยเห็นเลยว่าโจทย์หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วหลวงพ่อบอกคำตอบมา ผมจะเชื่อได้อย่างไร ?” เออ...จริงเพราะว่าคนตามนี่โจทย์ยังไม่เห็นเลย แล้วอาตมาไปบอกว่าตอบอย่างนี้ ๆ ในส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่เรียกว่าต้องมีประสบการณ์เอง ล้มเอง เจ็บเอง ลุกเอง หลาย ๆ รอบเข้า เดี๋ยวก็ฉลาดไปเอง ในส่วนของการปฏิบัติจึงเป็นเรื่องของการทดสอบ ด้วยการผ่านประสบการณ์จริงขึ้นมา
ผมเองมีโอกาสได้กราบหลวงพ่อฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ในปี ๒๕๑๘ เชื่อว่าทุกท่านมีจำนวนมากที่ยังไม่เกิด พอได้พบท่าน ด้วยความที่มีพื้นฐานการปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นการปฏิบัติแบบ “ทุกขาปฏิปทา” ก็คือปฏิบัติก็ยาก แล้วก็ยัง “ทันธาภิญญา” คือบรรลุก็ยาก เมื่อมาเจอสิ่งที่ท่านสอนรู้สึกว่าง่าย รู้สึกว่าถูกจริต ผมก็ตั้งหนาตั้งตาทุ่มเททำมา ปฏิบัติมา ก็เรียกว่าตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๒๗ ปี เป็นเวลา ๑๑ ปีเต็ม ๆ ทุ่มเทอย่างชนิดที่คนรอบข้างว่าผมบ้า แต่ผมรู้ว่าตัวผมเองทำอะไร เพื่ออะไร ดังนั้น...คำพูดของคนรอบข้างผมไม่ถือเป็นสาระ อยากจะว่าก็ว่าไป เพราะถ้าหากว่าเรานำมาถือเป็นสาระแล้วนำมาคิด ก็เสียเวลาในการปฏิบัติของเรา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2016 เมื่อ 17:08
|