ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยหมดทุกอย่าง สงสัยบุญบาป สงสัยครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่าวิจิกิจฉา เป็นเครื่องกั้นการปฏิบัติธรรมของเรา พูดง่าย ๆ คือเป็นอุปสรรค ต้องพยายามภาวนาให้จริง ๆ จัง ๆ ถ้าเข้าถึงสมาธิสักระดับหนึ่งความสงสัยจะหมดไปเอง แต่ถ้าตราบใดที่เข้าไม่ถึง เราก็จะสงสัยไปเรื่อย เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงหรือเปล่า ทำให้ถูก ถ้าทำดี ทำถูก เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเลิกสงสัยไปเอง
สำหรับโยมที่เป็นคนช่างสงสัยนับว่ายังดี เพราะว่าโยมสงสัยแล้วยังทำ เจอบางคนสงสัยแล้วไม่ทำ ในเมื่อสงสัยแล้วไม่ทำ ก็อยู่ในลักษณะคิดว่า คาดว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ ก็เลยไม่เกิดผลกับตัวเองสักที ในเมื่อสิ่งที่ตัวเองทำไม่เกิดผล ก็กลายเป็นว่าของดีอยู่ตรงหน้าแล้วไม่รู้จัก ดีไม่ดีก็เกิดการปรามาสพระรัตนตรัยไปด้วย
พวกลังเลสงสัยนี่บางทีจัดอยู่ในพวกวิตกจริต ไม่ถึงระดับของวิตกจริตแต่ต้องบอกว่าอยู่ในพวกเดียวกัน เพราะวิตกจริตนี่ประเภทย้ำคิดย้ำทำ ในเมื่อย้ำคิดย้ำทำอยู่ ท่านบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากใช้อานาปานสติอย่างเดียว
ถ้าถามว่าพระอริยเจ้ายังมีพวกจริตต่าง ๆ อยู่หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าแม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังมีอยู่ เพราะว่าจริตคือความเป็นไปของจิตที่เคยชินมานับชาติไม่ถ้วน สภาพจิตถึงแม้ว่าจะบริสุทธิ์แล้ว แต่ว่าความเคยชินนั้นมีอยู่ ถึงเวลาก็อดที่จะทำอย่างเดิมไม่ได้ แต่ว่าเป็นการกระทำที่เป็นเพียงกิริยาเท่านั้น ไม่ได้สร้างกรรมให้เกิด หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านต้องแต่งตัวเรียบร้อยทุกครั้ง จัดแล้วจัดอีก ขยับแล้วขยับอีก แม้แต่ท่านอนท่านก็นอนเรียบร้อยสุด ๆ ลักษณะนั้นถ้าเป็นคนทั่วไปก็คือราคะจริต คือทำอะไรจะต้องดีที่สุด
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2015 เมื่อ 11:38
|