ถ้าท่านทั้งหลายใช้ปัญญาเพิ่มเติมเข้าไป มองเห็นว่าการเกิดการมีร่างกายนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเราก็ดี ตัวเขาก็ดี สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่เกิดมาอยู่ในกองทุกข์ ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีแต่ความทุกข์เช่นนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเข้าถึงความเบื่อหน่ายอย่างแท้จริง สภาพจิตใจก็จะปลดวางจากการยึดถือในร่างกายตัวเองและผู้อื่น เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน บุคคลที่สามารถปลดวางภาระทั้งหลายทั้งปวงลงได้นั้น คือบุคคลที่ชำระจิตใจของตนจนผ่องใส ครบถ้วน สมบูรณ์บริบูรณ์นั่นเอง
ดังนั้น..หลักการในพระพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ให้ละเว้นจากความชั่วทั้งปวง ให้กระทำความดีให้ถึงพร้อม และชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส ญาติโยมทั้งหลายสามารถนำเอาไปใช้งานได้ แต่ถ้าท่านทั้งหลายปัญญายังไม่ถึง พระองค์ท่านก็ประทานวิธีการที่ละเอียดขึ้นไปอีกว่า ทำอย่างไรที่เราจะประพฤติปฏิบัติตามหลักการทั้งสามข้อนี้ได้
พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ว่า “อนูปวาโท” เราทั้งหลายเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วต้องไม่เป็นผู้ว่าร้ายใคร ไม่ว่าจะเป็นการนินทาต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม พูดง่าย ๆ ว่า ชมคนอื่น แต่อย่าด่าว่าคนอื่น อย่ากล่าวร้ายคนอื่น เป็นต้น นี่เป็นวิธีการข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สอง “อนูปฆาโต” พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อเรามาเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมแล้ว ต้องไม่ฆ่าใคร ต้องไม่ทำร้ายใคร สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราต้องพยายามงดเว้น เพราะหลักการในศีลก็มีอยู่แล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2018 เมื่อ 20:28
|