เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่ตักเตือน ก็เพราะว่าในเรื่องของครูบาอาจารย์นั้น ส่วนใหญ่แล้วพอเราไปยึดมั่นตัวตนของท่าน ก็ลืมในสิ่งที่ท่านสอน มีความยินดี มีความพอใจที่ได้อยู่ใกล้ชิด ได้รับฟังคำสั่งสอนของท่าน แต่กลับไม่ได้ขวนขวายในเรื่องของการปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำตนเหมือนคนมีเวลามาก เพราะว่าขาดสติ ลืมไปว่าเราเองต้องตาย ขณะเดียวกันครูบาอาจารย์ก็ต้องตายเช่นกัน
พวกเราเมื่อรู้แล้วว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน ข้อบกพร่องของเราอยู่ตรงไหน ก็ให้เร่งรีบแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะการพยายามสร้างกำลังใจตนเองให้เป็นพระอริยเจ้าให้ได้ ด้วยการทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
พยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดในศีลนั้น และท้ายที่สุดรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าตาย ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก การเกิดมาในโลกนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
ให้ทุกคนพยายามประคับประคองรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ให้มั่นคง อย่างน้อย ๆ วันละ ๒ เวลา คือตอนเช้าและก่อนนอน โดยเฉพาะเมื่อรักษากำลังใจให้มั่นคงได้แล้ว ก็กำหนดกำลังใจสุดท้ายของเราเอาไว้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือที่พระนิพพาน ถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไป หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต เราก็จะได้ไปสู่พระนิพพานตามที่เราตั้งความปรารถนาไว้
ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2018 เมื่อ 03:25
|