ดูแบบคำตอบเดียว
  #4  
เก่า 04-08-2010, 09:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,079 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะสังเกตว่า การใช้ปัญญา มีทั้งปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม การแก้ไขปัญหาของเทวดากอหญ้าคานี่เป็นปัญญาทางโลก คือ แก้ไขความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที

ส่วนปัญญาในทางธรรมนั้นเป็นปัญญาที่รู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้กิเลสมากินใจของเราได้ อาจจะเป็นการเข้าสมาธิอยู่ ถ้าเราไม่คลายออกมา กิเลสก็กินใจเราไม่ได้ อาจจะเป็นการพิจารณา รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ปล่อยได้วางได้ กิเลสก็ไม่กำเริบมากินใจเราอีก

นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่า การที่เราบวชหรือว่าเราเป็นนักปฏิบัติ ปัญญานั้นสำคัญมาก ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะว่าเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ นี่เป็นคำตอบแค่ขั้นต้นและขั้นกลางเท่านั้น คำตอบของนักปฏิบัติขั้นสุดท้าย จะอยู่ที่ปัญญาทั้งหมด

เมื่อพวกเราภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เมื่อคลายกำลังใจออกมา ให้รู้จักพิจารณาให้เห็น ว่าร่างกายของเรามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร เขาเรียกว่าไตรลักษณ์****** เพราะมีลักษณะ ๓ อย่างที่เหมือนกันหมด คือ

๑. มีลักษณะของความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ต้นไม้ เรือนโรงอะไรก็ตาม ล้วนแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

๒. มีลักษณะของความเป็นทุกข์ คือ อยู่ก็ต้องทน สิ่งใดที่ต้องทนสิ่งนั้นเป็นทุกข์ อย่างตึกรามบ้านช่อง เราจะเห็นว่าอยู่ยงคงทน แล้วทุกข์ได้อย่างไร ? ชีวิตจิตใจก็ไม่มี นั่นเป็นทุกข์โดยสภาพที่เรียกว่าสภาวะทุกข์ คือ ก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ค่อย ๆ สลายไปเรื่อย เก่าไปเรื่อย ท้ายสุดก็พัง อยู่ไม่ได้

๓. มีสภาพเป็นอนัตตา ไม่สามารถจะยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ ต้องพังต้องตายแน่นอน ไม่มีอะไรเหลืออย่างแน่นอน

เมื่อเราเห็นดังนี้แล้ว ให้ดึงเข้ามาข้างใน น้อมนำเข้ามาข้างใน พิจารณาตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปลายเท้าจรดศีรษะแล้วว่า ไม่มีอะไรในร่างกายเราเที่ยง ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ทุกข์ และไม่มีอะไรที่เป็นที่ยึดถือมั่นหมายได้ ล้วนแต่ตายหมด พังหมด

ตัวเราเมื่อเป็นอย่างนี้ ตัวคนอื่นก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพศตรงข้ามจะให้สวยให้หล่อขนาดไหนก็ตาม ก็มีสภาพอย่างเดียวกับเรา ในเมื่อมีสภาพอย่างนี้ ถ้าเรามีความปรารถนาอีก ไม่ว่าจะตัวเราหรือตัวคนอื่น เราก็ต้องเกิดมาทุกข์อีก

ทุกวันนี้เราทุกข์พอแล้วหรือยัง ? เรากำลังดิ้นรนแสวงหาหนทางที่จะพ้นทุกข์อยู่ วาระสุดท้ายของชีวิตไม่ทราบว่าจะมาถึงเมื่อไร ถ้ามัวแต่ประมาทนิ่งนอนใจอยู่ เราตายเสียก่อน ก็จะพ้นทุกข์ไม่ได้


หมายเหตุ :
****** สํ.สฬ. ๑๘/๑/๑ : ขุ.ธ. ๒๕/๓๐/๕๑
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2010 เมื่อ 10:25
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา