ดูแบบคำตอบเดียว
  #17  
เก่า 30-01-2016, 15:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,630 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมยิ่งทำไปสภาพจิตต้องยิ่งละเอียดขึ้น ทำอะไรได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เรียบร้อยขึ้น ไม่ใช่กี่ครั้ง ๆ ก็เหมือนเดิม ถ้ากี่ครั้งก็เหมือนเดิม จัดอยู่ในประเภท "แกล้งมึน" ถ้าประเภทนี้ต้องใช้คำว่า "สมควรตาย"

การปฏิบัติธรรมของพวกเราต้องเรียกว่า “ปฏิบัติแก้บน” ก็คือสักแต่ว่าทำ ๆ ไปพอให้เป็นกระสายยาแค่นั้น นักปฏิบัติจริง ๆ เวลาทุกวินาทีจะไม่ยอมปล่อยให้สภาพจิตหลุดจากการภาวนาหรือพิจารณา ถ้าถามว่าต้องปฏิบัติขนาดไหน ? ให้ดูตัวอย่างของหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าของหลวงปู่มั่น เดินจงกรมกันทั้งวันทั้งคืน เพราะท่านฉันมื้อเดียว ประมาณ ๖ โมงเช้าออกบิณฑบาต กว่าจะกลับมาบางที ๙ โมงกว่า เพราะว่าระยะทางไกลจากหมู่บ้าน ก็แปลว่าเดินไปประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งจึงจะถึงหมู่บ้านที่รับบาตรได้

กลับมาฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ล้างบาตร เช็ดแห้ง ตั้งผึ่งไว้ แล้วก็เข้าสู่ทางเดินจงกรม คราวนี้ก็เดินข้ามวันข้ามคืนไปเลย ยกเว้นว่าวัดไหนมีระเบียบว่าเวลา ๕ โมงเย็นให้มากวาดวัดด้วยกัน ก็จะหยุดเดินจงกรมมากวาดวัด แต่กำลังใจก็ไม่ได้คลายจากการภาวนา กวาดวัดเสร็จ สรงน้ำเสร็จ ถ้าหากมีใครถวายน้ำปานะก็ฉัน แล้วก็เข้าทางเดินจงกรมต่อ

หลายท่านทำทางเดินจงกรมไว้ ๓ สาย ปกติสายเดียวก็ยุ่งพอแล้ว ทำไว้ ๓ สาย “สายนี้เดินถวายพระพุทธ สายนี้เดินถวายพระธรรม สายนี้เดินถวายพระสงฆ์” เหตุที่บอกว่าทางเดินจงกรมทำยาก เพราะว่าขึ้นอยู่กับแสงแดด จะไม่เดินหาดวงตะวันตรง ๆ แต่จะเป็นแนวเหนือ-ใต้, ตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-01-2016 เมื่อ 06:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา