พระอาจารย์กล่าวว่า “คาดว่าการห่มจีวรแบบมังกร คงจะมาจากพระใหม่ที่ห่มแล้วหลุดห่มแล้วหลุดนี่แหละ เขาก็เลยตัดสินใจให้หลุดอยู่อย่างนั้นเลย แต่ว่าเวลาห่มแล้วจะบิณฑบาตยาก จีวรจะรัดบาตรติดอยู่กับตัว แล้วถ้าเป็นพระใหม่ ผ้าใหม่ยังแข็งอยู่ ยังไม่แนบตัว ถึงเวลาดึงเวลาดึงจีวรขึ้นมาเพื่อจะเปิดบาตร ก็อาจจะถลกสบงตามมาด้วย
อย่างปัจจุบันจะมีมหานิกายที่ห่มแบบพันแขนที่เขาเรียกห่มมังกร เขาเรียกแบบมักง่าย เพราะสมัยก่อนนักเลงเขาสักมังกรพันแขน ในเมื่อพระเอาจีวรพันแขนเขาเลยเรียกห่มมังกร ส่วนห่มแบบทั่ว ๆ ไปเขาเรียกห่มแหวก เป็นแบบของพระธรรมยุติ คือพระมอญเขาห่มแบบนั้น ธรรมยุติเขาสืบสายมาจากหลวงพ่อซายของทางด้านมอญเขา เลยห่มตามแบบพระมอญ
ส่วนห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอก เกิดจากหลวงพ่อเจ้าคุณภัทรมุนี ท่านเป็นอาจารย์สอนบาลี แล้วท่านเป็นคนเคร่งครัดมาก คือถึงเวลาต้องสวดมนต์ทำวัตร การสวดมนต์ทำวัตรของพระก็ต้องพาดสังฆาฏิด้วย คราวนี้พอท่านห่มเฉวียงบ่าเพื่อที่จะสอนบาลี เดี๋ยว ๆ ก็เลื่อนหลุด ต้องดึงมาเหน็บอยู่เรื่อย ดึงมาแล้วเอาแขนหนีบอยู่เรื่อยท่านก็รำคาญ ท่านก็เลยห่มดองพาดสังฆาฏิเอาผ้ารัดอก ดูทะมัดทะแมง ปรากฏว่าคนอื่นเห็นเข้าว่า เออ..เข้าท่าดี จึงเลียนแบบตามกันใหญ่ ก็เลยกลายเป็นว่ามีการห่มดองพาดสังฆาฏิรัดอกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-07-2014 เมื่อ 16:28
|