ถ้าเรารู้จักดู รู้จักระมัดระวัง ในแต่ละวันอย่าให้นิวรณ์ ๕ อย่างกินใจเราได้ ก็แปลว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว โอกาสที่กิเลสนักปฏิบัติจะหลอกลวงเราให้ยึดติดอยู่ก็มีน้อย เมื่อเรารู้ตัวก็พยายามก้าวข้ามไปให้ได้
การข้ามนิวรณ์นั้นง่ายนิดเดียว อยู่กับลมหายใจปัจจุบันก็จบแล้ว หายใจเข้าผ่านจมูก...ผ่านอก...ลงไปถึงท้อง หายใจออกจากท้อง...ผ่านอก...มาที่ปลายจมูก ความรู้สึกอยู่แค่นี้พร้อมกับการภาวนา นิวรณ์อะไรก็กินเราไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราสามารถรักษาอารมณ์ทั้งหลายนี้ไว้ได้นานเท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น...ที่ได้กล่าวไปตอนต้นก่อนการปฏิบัติธรรมก็ดี ในช่วงนี้ก็ดี ญาติโยมทั้งหลายก็ไม่ต้องหนักใจว่า กิเลสมีมาก มีความละเอียดสูง เราจะรู้ไม่เท่าไม่ทัน อาตมาขอยืนยันว่ากิเลสละเอียดเท่าไร ปัญญาละเอียดเท่านั้น เพราะว่าเขาเป็นคู่ศึกกันโดยอัตโนมัติ ถ้าทำไม่ถึงก็ไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ถ้าทำถึงเมื่อไรก็เห็นหน้าคู่ต่อสู้ ปัญญาก็จะตรงเข้าห้ำหั่นฟันทิ้ง ตัดละไปโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติมานานแล้วยังเอาดีไม่ได้ อย่าท้อใจ เราผิดแล้วเป็นครู อย่างน้อย ๆ สอนใจตัวเองได้ สอนคนอื่นได้ เมื่อก้าวข้ามไปเมื่อไร เราก็จะเห็นว่าสิ่งที่เราทำมานั้นยังไม่ดีจริง ยังมีสิ่งที่ดีกว่า จนกระทั่งไปยึดอยู่ตรงจุดสุดท้าย เมื่อปล่อยจุดสุดท้ายเมื่อไร ความหลุดพ้นก็จะบังเกิดขึ้นกับเราทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องปฏิบัติกันให้ถึงต่อไป
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2019 เมื่อ 02:33
|