"ปัจจุบันนี้หลังจากผ่านไป ๑๓ ปี ท่านเย็นขึ้นมาเยอะ โดยเฉพาะไปเจองานประเภทผจญกับคนมาก ๆ อย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์ ตอนนี้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสก็ถือว่าเหมาะสม ถ้าหาเจ้าอาวาสที่ไม่เหมาะสมไปจะเสียหายถึงอาตมาเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็จะเสียหายถึงหลวงปู่สาย เสียหายถึงวัดท่าขนุน แล้วท้ายสุดภาพรวมก็คือเสียหายแก่พระพุทธศาสนา ฉะนั้น...ของทุกอย่างที่เราทำต้องนึกถึงภาพรวมว่าจะเสียหายไหม ? ไม่ใช่ว่าทำตามอารมณ์ตัวเอง
การบวชพระจึงจำเป็นที่จะต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคงพอ พระพุทธเจ้าถึงได้กำหนดว่าต้องอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป แล้วโบราณของเราก็นิยมว่าให้บวชก่อนที่จะเบียด ก็คือให้บวชสักพรรษาหนึ่งก่อน แล้วค่อยสึกหาลาเพศมามีครอบครัว
คราวนี้ในชีวิตฆราวาสอยากทำอะไรก็ทำตามใจ จะกินเมื่อไร จะนอนเมื่อไรก็ได้ จะเที่ยวจะเตร่หัวหกก้นขวิดอย่างไรก็ได้ แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนกับไปติดคุกอยู่ ๓ เดือน โดยมีพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ๒๒๗ ข้อเป็นอย่างต่ำ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา อะไรที่เคยคิด เคยพูด เคยทำ จะคิดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้นไม่ได้เลย บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ
ก็เลยกลายเป็นว่าการบวชช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ถ้าหากว่าอดทนอดกลั้นผ่านไปได้ด้วยดี ก็แปลว่าบุคคลนั้นมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มั่นคง เพียงพอที่จะไปเป็นผู้นำครอบครัวได้ โบราณเขาถึงกำหนดว่าควรที่จะบวชก่อนแล้วจึงเบียด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2017 เมื่อ 02:09
|