"มะม่วงงาช้างก่อนหน้านั้นเรียกว่ามะม่วงงาช้างบ้าง เรียกว่ามะม่วงแขนอ่อนบ้าง ระยะหลังเขาเรียกว่ามะม่วงหนัง เพราะว่าเปลือกหนา เหมาะที่จะส่งต่างประเทศ สมัยนี้ที่บรรดาผลไม้ต่าง ๆ ไม่หลากหลายก็เพราะการค้านี่แหละ จะต้องการเฉพาะพันธุ์ที่คนชอบ พันธุ์ที่คนไม่ชอบก็ไม่ปลูกกัน จึงสูญไปเรื่อย ๆ
มะม่วงแก้มแดงนี่เอาไว้ทำน้ำปลาหวานได้อย่างเดียว เพราะว่ารสเปรี้ยวมาก มะม่วงแก้มแดงจะกินอร่อยต้องกินสุกหรือไม่ก็ทำน้ำปลาหวาน
อันนี้ต้นเป็นกิ่งตอนเหมือนกัน ต้นไม่สูง คือลักษณะลูกกับลักษณะต้นจะบอกเราได้ เหมือนกับคนโดนจำกัดอาหาร ลูกออกมาก็จะแกร็น
ส่วนใหญ่ถ้าจะเก็บผลไม้สุก ให้ตัดน้ำสักอาทิตย์หนึ่งก่อนแล้วค่อยเก็บ รสจะจัดมาก ที่บ้านจะมีลำไยอยู่ ๒ ต้น ต้นใหญ่มาก ๆ ถึงเวลาก็หยุดประโคมน้ำ ทิ้งไว้ ๗-๑๐ วันแล้วค่อยเก็บ รสหวานชนิดลืมตายเลย คนกินก็ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นเบาหวาน แต่ค้างคาวรู้ดีกว่า พอลูกเริ่มแก่ก็มากินกันกระจาย ตกเกลื่อนพื้นเป็นหมื่น ๆ ลูกเลย ตอนหลังจึงแก้โดยการเอาชะลอมใส่ พอลำไยจวนจะแก่ก็เอาชะลอมไปใส่ไว้ เวลาค้างคาวมาติดชะลอมเข้าไปกินไม่ได้
คนโบราณใช้วิธีชักตะขาบ ตะขาบก็คือกระบอกไม้ไผ่นี่แหละ เวลาดึงก็กระทบเสียงดังอีโล้งโคล้งเคล้ง ค้างคาวตกใจก็บินไปเสียหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็กลับมาอีก เพราะรู้ว่าไล่ตามไม่ได้ พอบอกว่าไปเฝ้าสวนชักตะขาบ เด็กสมัยนี้ได้ยินก็สงสัยอีกว่าคืออะไร"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:32
|