ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 18-03-2013, 20:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,571
ได้ให้อนุโมทนา: 151,699
ได้รับอนุโมทนา 4,411,030 ครั้ง ใน 34,161 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับที่ ๒ ก็คือ ต้องพิจารณาในกายคตานุสติกรรมฐาน ให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายของเรานั้นไม่ใช่แท่งทึบ สิ่งที่เราเห็นเป็นเพียงเครื่องหลอกตาอยู่ภายนอก เป็นเพียงผิวหนังที่ห่อหุ้มอยู่ชั้นหนึ่งเท่านั้น ถ้าถลกหนังออกไป ภายในก็เป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นไขมัน เป็นเส้นเอ็น แล้วยังประกอบไปด้วยอวัยวะภายในใหญ่น้อยทั้งปวง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว ก็น้อมเอามาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเราก็เป็นเช่นนี้ ร่างกายของผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้ เหมือนกับซากศพที่เคลื่อนที่ ถ้าเราไม่ยินดีในร่างกายของตนเองได้ ก็ไม่ยินดีในร่างกายของบุคคลอื่นเช่นกัน

กายคตานุสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง บุคคลที่จะก้าวเข้าถึงความเป็นอริยเจ้า ไม่มีใครที่จะสามารถเว้นจากกายคตานุสติกรรมฐานได้ เพราะเราต้องเห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกาย จึงเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความปรารถนาในร่างกายของตนเองและผู้อื่น แล้วหาทางหลีกหนีไปให้พ้นจากร่างกายที่เป็นกองทุกข์

ถ้ากายคตานุสติกรรมฐานไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งได้ เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของเราไม่เพียงพอ ก็ต้องสร้างความสลดใจให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ด้วยอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในปัจจุบันนี้ การจะพิจารณาอสุภกรรมฐานนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะจะไปหาซากศพในสภาพต่าง ๆ มาพิจารณาได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็น อุทธุมาตกอสุภ ซากศพที่อืดพอง ปุฬุวกอสุภ ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไช โลหิตกอสุภ ซากศพที่ประกอบไปด้วยโลหิตไหลเนืองนอง อัฏฐิกอสุภ ซากศพที่เป็นโครงกระดูก เป็นต้น

การที่หลายท่านใช้วิธีค้นหารูปอสุภกรรมฐานต่าง ๆ มาดู อยากจะบอกกับทุกท่านว่า ช่วยอะไรแทบไม่ได้เลย เพราะเป็นเพียงแค่ตาเห็นเท่านั้น แต่ถ้าของจริงจมูกเราจะได้กลิ่นด้วย บางท่านแค่ได้กลิ่นก็ทนไม่ไหว ถึงขนาดอาเจียนแล้ว จะได้เกิดความสลดใจว่า สภาพร่างกายของเราก็ดี ของเพศตรงข้ามก็ดี ที่แท้จริงมีสภาพเป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นดังนั้น เรายังจะไปยินดีกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อีกหรือ ? ถ้าหากว่าเกิดความสลดใจขึ้นมาจริง ๆ เกิดความสังเวชในธรรมขึ้นมาจริง ๆ เราก็จะพิจารณาหาทางหลีกหนีจากร่างกายนี้ ในเมื่อความปรารถนาในร่างกายของตนเองไม่มี ความปรารถนาในร่างกายของผู้อื่นก็ย่อมไม่มีเช่นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องที่ว่า ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน ทำให้ไม่สามารถจะตัดจะละได้นั้นไม่จริง เพราะการที่จะตัดจะละได้นั้น ขึ้นอยู่กับกำลังสติ สมาธิ และปัญญาของเรา ถ้าเราเห็นทุกข์เห็นโทษจริง ๆ ก็ย่อมสามารถที่จะก้าวล่วงพ้นไปจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2013 เมื่อ 15:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา