๑๒. “อย่าไปสนใจกับจิตของบุคคลอื่น
ให้รักษาดูแลจิต อบรมจิตของตนเองให้มาก และพึงสำรวจจิตของตนเองดูว่า เวลาที่ผ่านไปได้พึงทำกิจที่สมควรเพื่อพระนิพพานหรือไม่ วันหนึ่ง ๆ ปฏิบัติธรรมได้เท่าไหร่ หรือปล่อยจิตให้มีอารมณ์นอกลู่นอกทางพระกรรมฐาน เพื่อพระนิพพานไปเท่าไหร่ และได้ใช้กำลังใจหรือบารมี ๑๐ ประการ พร้อมที่จักตัดสังโยชน์ที่คั่งค้างอยู่สักเท่าไหร่ เหล่านี้จักต้องดูเอาไว้ด้วย
อย่าสักแต่ว่ามีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ โดยที่ไม่มีจุดหมายปลายทางเอาเสียเลย ว่าขณะนี้ชีวิตร่างกายมันใกล้ความตายเข้าไปทุกที”
๑๓. “อย่าทำใจให้ย่นย่อต่ออุปสรรคทั้งปวง
ให้มองทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรมฐาน และจำไว้ว่า อย่าไปแก้ปัญหาที่ใคร ให้แก้ปัญหาทั้งหมดที่จิตของตนเอง ชีวิตนี้สุดท้ายแล้ว เรื่องที่จักให้ไม่มีอุปสรรคของชีวิตเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนที่เกิดมามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ การเกิดก็เนื่องด้วยยังไม่หมดกรรม จิตยังเป็นทาสของกิเลสอยู่ เมื่อเกิดแล้วก็ต้องพบกับอุปสรรคขัดข้องนานาประการ อันเนื่องด้วยกฎของกรรมแต่ก่อนเก่าทั้งสิ้น ดังนั้น ยิ่งปรารถนาจักไปพระนิพพานในชาตินี้ก็ยิ่งมีอุปสรรคมากขึ้น เพราะ
คิดจักหนีแล้วจากบาปอกุศล ก็ยิ่งพบอุปสรรคหนักอย่างนี้เป็นของธรรมดา พิจารณาให้ลงเป็นของธรรมดา แล้วจักคลายความหนักใจลงได้”
๑๔. “
อย่าไปคิดว่าใครดี อย่าไปคิดว่าใครเลว ให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง หรือตามกรรมก็จักลงตัวธรรมดาได้ พิจารณาตรงนี้ให้มาก ๆ เพราะถ้าหากจิตลงจุดนี้ได้ จักสบายใจ และอยู่ได้อย่างมีความสุขมากที่สุด พิจารณาลงกรรมใครก็กรรมมัน แล้วจิตจักสบายใจที่สุด ไม่ยุ่งกับจริยาของผู้อื่นอีก ดั่งคำอุทาน ๔ ประโยคที่พระองค์ทรงตรัส เมื่อทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในโลก ความว่า
ก)
สุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี
ข)
สุขเพราะหมดตัณหา ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว
ค)
สุขเพราะหมดความเบียดเบียนตนเองแล้ว (พ้นภัยตนเองแล้ว)
ง)
สุขอย่างยอด เพราะหมดความถือตัวถือตนแล้ว (หมดมานะทิฏฐิ)
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com