ในเมื่อเราต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิและปัญญาในการตัดกิเลส แล้วท่านทั้งหลายนั่งภาวนาครึ่งชั่วโมง จากนั้นไปส่องเฟซฯ สัก ๑ ชั่วโมง ไปเขี่ยไลน์อีก ๑ ชั่วโมง ก็ขาดทุนย่อยยับ เพราะว่ากำลังสมาธิที่เราได้ โดนใช้หมดไปแล้ว
แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ของเรา ถ้าสกัดกั้นไม่เป็น ไปให้ความสนใจเมื่อไร กำลังสมาธิของเราก็จะรั่วไปทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่บางท่านปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะว่าทำได้แล้วก็ใช้งานหมด ทำได้แล้วก็ปล่อยให้รั่วหมด ซ้ำยังไม่รู้อีกด้วยว่า ตัวเองทำแล้วทำไมไม่มีผล ? หาข้อบกพร่องของตัวเองไม่เจอ..!
การสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ที่เป็นกิจวัตรประจำของนักบวช เป็นเครื่องสั่งสมสมาธิที่ดีที่สุด แต่หลายท่านก็ไม่สนใจที่จะทำ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะชนะกิเลสจึงมีน้อยมาก มีแต่จะโดนกิเลสกระหน่ำตี ได้รับความทุกข์ยากอยู่ทุกวัน พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ที่คอยบอกคอยกล่าว แต่ฟังแล้วก็กลายเป็น "ลมผ่านหู" ไม่ได้คิดที่จะเอาไปใช้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นเลย
ความเพียรไม่พอ ความอดทนไม่พอ ปัญญาไม่มี อย่าไปหวังว่าจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม เพราะว่าความพากเพียรนั้นต้องอยู่ในระดับที่ "ฝนทั่งให้เป็นเข็ม" เราลองนึกว่าแท่งเหล็กใหญ่โตมหึมา เราต้องขยันถึงขนาดฝนให้เป็นเข็มเย็บผ้าได้ ต้องใช้ความเพียรพยายามขนาดไหน ?!
ความอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก ทั้งทางร่างกายและจิตใจ จะต้องมีถึงระดับแลกกันด้วยชีวิต ก็คือถ้าทำไม่ได้ให้ตายไปเลย ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราถึงจะใช้ความอดทนเพียงพอในการที่จะต่อสู้กับกิเลสได้ แล้วก็ยังต้องมีปัญญา รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว เวลาไหนที่ควรจะเร่งรีบ เวลาไหนที่ควรจะประคองอารมณ์ไว้ รอกำลังรอบใหม่ของเรา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2024 เมื่อ 01:58
|