ในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา หลวงพี่หนูท่านให้ขยายความอีกนิดหนึ่ง จริง ๆ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาก็อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เพียงแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญาที่เราทำนั้น ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน อย่างเรื่องของการรักษาศีล บางคนรู้สึกเหมือนแบกข้าวสารทั้งกระสอบ รู้สึกหนักเหลือเกิน ต้องระมัดระวังเหลือเกิน ตัวลีบกลัวศีลจะขาด
แต่ทำไมบางคนรู้สึกสบาย ๆ รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมาก เหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะว่าการสั่งสมมาไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่ากัน ท่านที่สั่งสมมามากกว่า ความพอดีของท่านในชาตินี้กลายเป็นของง่าย เป็นของสบายของท่าน แต่เป็นของยากลำบากของเรา ขณะเดียวกันเรื่องของสมาธิที่ได้ว่ามาแล้ว เรานั่ง ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว แต่เพื่อนนั่งกันที ๓ - ๔ วันสบาย ๆ
เรื่องของปัญญาก็เหมือนกัน บางคนแค่มองไปก็เห็นแทงตลอดเลย นั่นเด็กนะ นี่กลางคน นั่นคนแก่ เห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติแล้ว เขานั่งอยู่ก็เมื่อยก็ปวดเหมือนกับเรา เห็นเป็นทุกข์อีกแล้ว ท้ายสุดทุกคนก็ตายหมด ไม่มีใครดำรงทรงขันธ์อยู่ได้ก็เป็นอนัตตาหมด เรามองให้ตายก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นไม่พอ ยังไปหลงไปยึดอีก ไอ้นี่ตัวกู ของกู คนนั้นก็สวย เดี๋ยวจีบมาเป็นแฟนกู เผลอไปมีลูกเข้าก็ลูกกูอีก เพิ่มขึ้นไปเรื่อย
เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของความพอดีมีไม่เท่ากัน คนที่สั่งสมมาน้อย ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น คนที่สั่งสมมามากก็ประคับประคองตัวเองให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่าไปประมาทแล้วปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วจะหนักเหมือนคนอื่นเขา ถ้าหากว่าเราพลาดแล้วจะถอยหลัง เรื่องของการปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่จ้วงเอาไว้ตลอดเวลา เราก็จะไหลตามน้ำไป
เราจำเป็นต้องใช้ความอดทน มานะพยายาม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสประโยคแรกของโอวาทปาฏิโมกข์ว่าขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา เอาความอดทนอดกลั้นขึ้นมาก่อนเลย ต้องทนถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากว่าขาดความอดทน ถึงเวลาลำบากหน่อยก็ท้อ อย่างนั้นไม่มีหวังประสบความสำเร็จแน่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:49
|