ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 28-04-2013, 13:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,171 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้กระทั่งราชวงศ์จักรีของเราที่ยืนยงมาเป็นระยะเวลา ๒๐๐ กว่าปี ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวของเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากเด็กเล็กเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นคนชรา และท้ายสุดก็ก้าวไปสู่ความตาย

เมื่อเราเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเราเขาได้ จิตใจของเราก็จะประกอบไปด้วยความเบื่อหน่าย อยากจะหลีกหนีไปเสียให้พ้น เราก็ต้องอาศัยกำลังของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ในการนำตนให้พ้นไปจากร่างกายนี้ ไปจากการเกิดมาในโลกนี้

ด้วยการที่เราตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เมื่อเราตั้งสติระมัดระวังรักษาศีลอยู่เป็นปกติ สมาธิของเราก็จะค่อย ๆ ทรงตัวตั้งมั่นขึ้น เมื่อสมาธิตั้งมั่นขึ้น เราก็มีกำลังในการกดกิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราว

เมื่อกิเลสคือรัก โลภ โกรธ หลงโดนอำนาจสมาธิกดให้ดับลงชั่วคราว จิตใจของเราก็มีสภาพผ่องใสมาก สามารถพิจารณาเห็นความเป็นจริง ว่าสภาพร่างกายของเราประกอบไปด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ โอกาสที่เรามีความทุกข์เช่นนี้หรือทุกข์ที่หนักกว่านี้ก็ยังมีเป็นปกติ อย่ากระนั้นเลย เราควรที่จะหาทางหลุดพ้นดีกว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพร่างกายของเราก็จะไม่เป็นที่ต้องการ โลกนี้ก็จะไม่เป็นที่ต้องการ เมื่อสภาพจิตของเราไม่ต้องการในร่างกาย ไม่ต้องการในโลกนี้ ก็จะเกิดความเบา เราก็ค่อย ๆ ถอนจิตของเราออกจากการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน คือร่างกายนี้ ในตัวตนของผู้อื่นคือร่างกายผู้อื่น ถอนความยึดมั่นถือมั่นในการเกิดมาในโลกนี้ ในการเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถ้าสามารถรื้อถอนสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกจากใจได้จริง ๆ เราก็จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนศีล สมาธิ และใช้ปัญญาในการพิจารณา จนกระทั่งสภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ เมื่อจิตสลัดออกจากการยึดมั่นถือมั่น เราก็จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุด

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกระทั่งได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2013 เมื่อ 17:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา