เมื่อทบทวนศีลของเราทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาของเราไป อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกาย ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ช่างมัน" ตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงจะตายลงไปตอนนี้เราก็ยอม
ถ้าเป็นเช่นนี้ลักษณะอาการต่าง ๆ ที่มารบกวน อย่างเช่นว่าขันธมาร เป็นต้น ต่อให้บังเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าเราไม่หวั่นไหวเขาก็จะเลิกไปเอง ในขณะเดียวกันก็ให้ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราเป็นหลัก จะกำหนดภาพพระไปด้วยก็ได้ กำหนดคำภาวนาไปด้วยก็ได้ หรือจะรู้เฉพาะลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกก็ได้ จนกระทั่งสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่น ก้าวเข้าสู่ฌานสมาบัติระดับอัปปนาสมาธิ ได้แก่ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไปจนถึงฌาน ๔ หรือถ้าใครมีความสามารถจะกำหนดทำต่อในส่วนของสมาบัติ ๘ ก็ย่อมได้
เมื่อสมาธิของเราทรงตัวตั้งแต่ระดับปฐมฌานละเอียดขึ้นไป เราก็มาใช้ปัญญาพินิจพิจารณาตัดละร่างกายนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของความทุกข์ทั้งปวง มองให้เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในทึ่สุด ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไป ไม่มีตัวตนอะไรให้เรายึดถือมั่นหมายได้
ร่างกายของเราก็เป็นเช่นนี้ ของคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ของสัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ พยายามมองให้เห็นอย่างชัดเจน จนสภาพจิตของเรายอมรับ เมื่อร่างกายนี้มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเป็นปกติ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-08-2017 เมื่อ 09:45
|