ดูแบบคำตอบเดียว
  #6  
เก่า 04-07-2012, 21:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,619
ได้ให้อนุโมทนา: 151,818
ได้รับอนุโมทนา 4,413,351 ครั้ง ใน 34,209 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จากที่หนูมีอารมณ์โดนกระทบ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องคนอื่นที่เราเห็นอยู่ในเหตุการณ์แล้วกระทบใจเรา ทำให้อารมณ์เกิดขึ้นในขณะนั้นคือปีติร้องไห้ แล้วเราก็เห็นว่า ที่เราเห็นนั้นไม่ได้เป็นคน เราเห็นเป็นดวงจิตซึ่งมีความทุกข์ แล้วเราก็คิดขึ้นมาว่า เราไม่อยากเกิดให้มีทุกข์อย่างนี้อีก ?
ตอบ : ก็ถูกแล้วนี่จ๊ะ หลักการปฏิบัติท้ายสุดต้องโอปนยิโก น้อมเข้ามาที่ตัวของเรา เห็นเขาทุกข์ก็รู้ว่าเราก็ทุกข์ด้วย แล้วเราต้องการความทุกข์เช่นนั้นไหม ? ถ้าไม่ต้องการความทุกข์เช่นนั้น มีทางเดียวก็คือ ต้องไม่เกิดอีก การที่เราจะไม่เกิดได้ก็คือต้องลุ้นไปพระนิพพานให้ได้

พอความรู้สึกอย่างนั้นเกิดขึ้น เรารู้ว่าเรามีช่องทางที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ปีติจึงเกิด บางทีนั่งร้องไห้เป็นวัน ใครพูดถึงความดีอะไรไม่ได้ ได้ยินเมื่อไรน้ำตาร่วงหมด ถือว่าเป็นเรื่องปกติจ้ะ ปล่อยให้ปีติขึ้นเต็มที่เดี๋ยวก็จะเลิกไปเลย แต่ถ้าเราไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาก็มาอีก ไม่เลิกสักที ปีติต้องปล่อยเต็มที่ ถ้าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ปล่อยดิ้นตึงตังโครมคราม หกคะเมนตีลังกาไปเลย เต็มที่เมื่อไรถึงจะเลิก ถ้าเราไปห้ามไว้ก็จะหยุดทันที แต่ถ้าหากว่ากำลังใจกระทบจุดนั้นเมื่อไรก็จะมาอีก เพราะฉะนั้น..เรื่องของปีติอย่าไปห้าม ปล่อยให้เต็มที่จนเลิกไปเอง ก้าวข้ามได้สมาธิก็จะทรงตัวเป็นฌานไปเลย


ถาม : พอใคร่ครวญในสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ ในขณะที่พิจารณาไตร่ตรอง ขณะนั้นดำเนินตามโพชฌงค์ด้วยไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น เพียงแต่เรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น

ถาม : ในขณะตอนนั้นรู้ค่ะ แต่ว่าหลังกลับมาแล้วคิดทบทวนแล้ว...
ตอบ : องค์ของโพชฌงค์ทั้งหมดจะอยู่กับนักปฏิบัติ เพียงแต่ว่าตอนนั้นเรารู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้นเองว่าเราทรงในโพชฌงค์อยู่ เพราะถ้าไม่มีโพชฌงค์ เรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลไม่ต้องไปคิดเลย แต่คราวนี้เราอย่าไปเสียเวลาไปคิดว่าอันนี้เป็นโพชฌงค์หรือไม่ มีหน้าที่ทำอย่างเดียวพอ

ถาม : ไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะไปอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ทุกข์จะเหลือน้อยแค่สภาวทุกข์ทางร่างกายเฉย ๆ กำลังใจเราจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเท่านั้น กาย วาจา ใจของเราทุกอย่างเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือ จะไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น ไม่ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจของเรา

อย่างน้อยเราต้องมีศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ทรงตัว มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าถ้าตายลงไปตอนนี้เราก็ขอไปพระนิพพาน ถ้ารักษากำลังใจไว้แค่นี้ได้ โพชฌงค์ ๗ ข้อ อยู่กับเราครบถ้วน


ถาม : ขอความเมตตาท่านแนะนำว่า ตอนนี้ลูกมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอะไร กลับไปก็ปล่อยปีติให้เต็มที่ไปสักทีหนึ่ง ขอร้องไห้หนัก ๆ สักวันหนึ่ง พอก้าวข้ามไปคราวนี้สมาธิจะทรงตัว พอสมาธิเริ่มทรงตัว โอกาสที่เราจะสู้กับกิเลสก็มีมากขึ้น ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวกำลังของเราก็ยังสู้กิเลสไม่ได้

ถาม : แต่จริง ๆ ค่ะ หลังจากนั้น ๔-๕ วันได้ พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นทีไร ก็จะเป็นแบบนี้ขึ้นมาทุกทีเลย
ตอบ : จ้ะ..ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้นตลอด พอก้าวพ้นไปแล้ว ใจเราก็จะแน่วแน่มั่นคงในพระนิพพาน ไม่ไปไหนแล้ว ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2012 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา