๗๔. ลาพุทธภูมิ
“
ห้าพรรษาเท่านั้นแหละ ท่านต้องใช้รถสิบล้อมาขน...”
หลวงพี่วัชรชัย (พระครูสังฆรักษ์วัชรชัย อินทวงฺโส) เอ่ย เมื่อเห็นของกินของใช้กองเต็มโต๊ะทำงานของอาตมา บนศาลานวราชบพิตร เนื่องจากญาติโยมเอามาถวายคนละเล็กคนละน้อย...
อาตมาเองก็งงเหมือนกัน นี่มันอะไรกันนักหนา...? บวชมายังไม่ทันครบพรรษาเลย ทำไมผู้คนเมตตาสงเคราะห์ขนาดนี้...? คิดไปคิดมาสรุปได้ว่า เกิดจากการที่อาตมาปรารถนาพุทธภูมิมาก่อนนั่นเอง บริวารถึงได้มากนัก... ไม่ว่ามาจากอีสาน กลาง เหนือ ใต้ ความตั้งใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นคือ มากราบ “หลวงพ่อ” แต่มันให้มีเหตุที่เขาต้องมาพบกับอาตมา แล้วก็ชอบอกชอบใจเกาะหนับเป็นตุ๊กแกเลย... ขืนเป็นแบบนี้ ไม่ทันครบพรรษาคงถูกไล่ออกจากวัดแน่ ๆ เพราะคณะสงฆ์ท่านจะตั้งข้อหาว่า แข่งบารมีกับ “หลวงพ่อ” นะซิ...ไอ้เรารึก็ไล่แล้วไล่อีก ให้เขาไปกราบ “หลวงพ่อ” สมกับที่ตั้งใจมา แต่เขาก็อิดเอื้อนโยกโย้ จนบางทีอยากซัดสักฉาด...!
เคยกราบเรียนถาม “หลวงพ่อ” ว่า ทำไมศิษย์สายครูบาอาจารย์อื่น ๆ เขาไม่ค่อยมีพระโพธิสัตว์เอาซะเลย แต่ของวัดท่าซุงพระโพธิสัตว์แทบจะเดินชนกันตาย...? “หลวงพ่อ” เมตตาตอบว่า ท่านเองก็เคยกราบเรียนถาม “พระ” ท่านเช่นกัน...
“
พระท่านบอกว่า งานของเธอเป็นงานใหญ่ ต้องสั่งสอนคนหมู่มากเพื่อมรรคผลอย่างแท้จริง แทบจะเป็นการประกาศศาสนาใหม่เลย ถ้าไม่ได้กำลังของพระโพธิสัตว์มาช่วย ลำพังกำลังของเธอเองจะรับมือไม่ไหว...”
ที่สำคัญคือ หลวงพ่อท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ถ้ายังไม่ละความปรารถนานั้นเสียก่อน เมื่ออายุครบ ๖๐ ปีในชาตินี้ จะบำเพ็ญบารมีของวิริยาธิกะโพธิสัตว์เต็ม ครบ ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัปพอดี... หลวงพ่อเล่าว่า “
คนของฉันที่อธิษฐานตามกันมา เลยทำงานพุทธภูมิไปโดยปริยาย ยิ่งพวกที่ตามกันมาแต่ต้น ๆ บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๐ อสงไขยกัปทั้งนั้น ถ้าเป็นสาวกภูมิก็บรรลุไปนานแล้ว...”
การบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทด้วยกัน คือ
๑. ปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
๒. ศรัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
๓. วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป
การจะเป็นพระพุทธเจ้าแบบใด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระโพธิสัตว์ท่านนั้น จะตั้งความปรารถนาว่าต้องการบริวารแบบใด แบบ
ปัญญาธิกะนั้น บริวารของท่านจะคละเคล้ากันไป ทั้งยากดีมีจน ขี้เหร่สวยงาม แบบยำใหญ่ใส่สารพัดเลยล่ะ... แบบ
ศรัทธาธิกะ บริวารของท่านจะสวยรวยดี ตั้งอยู่ในศีลธรรมเสมอกัน คนชั่วจะเข้ามาในเขตประกาศศาสนาของท่านไม่ได้ แบบ
วิริยาธิกะ นอกจากสวยรวยดีเสมอกันหมดแล้ว ช่วงนั้นคนชั่วไม่มีโอกาสมาเกิดในโลกได้เลย...!
ถ้าหลวงพ่อไม่ลาพุทธภูมิเสียก่อน ท่านจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๒ ถัดจากพระศรีอาริยเมตไตรย “
...ขี้เกียจนั่งแกร่วรอคิวอีกไม่รู้กี่กัป ฉันเลยเลิกเป็นซะอย่างนั้นแหละ...” หลวงพ่อเล่า นั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ความจริงคือหลวงพ่อท่านเกรงว่าจะต้องฆ่าคน
ด้วยว่าวิสัยของพุทธภูมินั้น หากการกระทำของตนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนหมู่มากแล้ว ท่านยอมแม้จะต้องตกนรกหมกไหม้ขนาดไหนก็ตาม...!
ยุคนั้นนักบวชเลวที่เป็นใหญ่เป็นโต ข่มเหงรังแกพระดี ๆ ทั่วไป จับสึกซะบ้าง ถอดออกจากตำแหน่งบ้าง ข่มขู่เรียกร้องลาภผลจากท่านบ้าง เรียกว่าชั่วกันอย่างบริสุทธิ์ หาความดีไม่เจอเลยทีเดียว ขืนอยู่ก็ฆ่ากันแน่ หลวงพ่อจึงลาพุทธภูมิ...!
กำลังใจของผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวกว่าคนทั่วไปมากนัก ทำอะไรเด็ดขาดจริงจัง เสียสละความสุขของตนเพื่อผู้อื่นเสมอ แม้ตัวเองต้องอด ก็ขอให้คนอื่นอิ่มก็แล้วกัน ที่สังเกตอีกประการคือ บริวารจะมากเป็นพิเศษ... แต่ที่เสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะฝึกหัดอะไร จะได้ช้ากว่าเขามากนัก ต้องทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ช่ำชองชำนาญทุกจุดจริง ๆ จะไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้ไม่ครบถ้วนเจนจบ จะไปเป็นครูสอนคนอื่นเขาอย่างไร...?
อาตมาเองก็เช่นกัน กว่าจะผ่านได้แต่ละจุดแทบรากเลือด อย่างที่เคยเล่าไว้แต่ต้นว่า เพียงปฐมฌานอย่างเดียว เคี่ยวซะสามปี...! จนเหตุจูงใจสำคัญมาถึงคือ หลวงพ่อก็ลาพุทธภูมิแล้ว อาตมาจะอยู่ไปทำเกลืออะไรล่ะ...? กราบทูลลาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๓ วาระ พระองค์จึงประทานอนุญาต แต่ก็มีข้อแม้ว่า “จะลาก็ได้ แต่งานเก่าต้องทำต่อไป...” เฮ้อ...ตกลงว่าถ้าดีก็ไปนิพพานได้ ถ้าเลวก็ลงอเวจีต่อไป งานเก่าก็ไม่ยกเลิก...เก๊กซิม..! ขนาดลาแล้วนะนี่ บริวารยังไหลมาเทมา แล้วข้อยสิเฮ็ดหยังหว่า...? ฆ่าก็ไม่ตาย ขายก็ไม่ออก หนักอกหนักใจเรื่องบริวารอยู่นาน จนเกือบจะโดนไล่ออกจากวัดหลายวาระ ก็พอดีคนดีศรีอยุธยาขี่ม้าขาวโผล่มาช่วยไว้ทัน...
ท่านนันทชัย (พระนันทชัย สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามาพอดี อาตมาเห็นปั๊บก็ทราบเลยว่าพระโพธิสัตว์แหงแซะ... วันหนึ่งมีโอกาสนั่งผลิตลูกประคำอยู่ด้วย อาตมาจึงถามท่านว่า “
คุณคิดจะลาพุทธภูมิบ้างมั้ย...?” ท่านตอบว่า “
มันเหมือนกับผมทำงานชิ้นหนึ่ง เห็นอยู่ว่าผลงานนั้นจวนจะเสร็จอยู่แล้ว จะให้ผมทิ้งไปกลางคัน ผมทำไม่ได้ครับ...” เห็นความเข้มแข็งของกำลังใจของท่านหรือยัง...? ไอ้ใจไม่ถึงอย่างเราดันไปชักใบให้เรือเสียซะนี่...!
“
ผมเองน่ะลาแล้ว แต่บริวารของผมมากเหลือเกิน คุณจะรังเกียจมั้ย...? ถ้าผมจะฝากให้คุณช่วยรับภาระแทนด้วย...” อาตมายื่นภูเขาพระสุเมรุให้หน้าตาเฉย ท่านก้มหน้าคิดไม่ถึงสามวินาที ก็ตอบว่า... “
ได้ครับ...แต่เมื่อหลวงพี่ไปสบายแล้ว ขอให้กลับมาช่วยผมบ้าง...” ไชโย...! ทันทีเลยน้องเอ๋ย...ขอให้หมดภาระเฉพาะหน้าเท่านั้นแหละ เรื่องย้อนกลับมาช่วยภายหลังนั้นเรื่องเล็ก ถึงตอนนั้นทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว... น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระแสคนมันขาดลงไปเฉย ๆ คล้ายกับน้ำที่ถูกปิดเขื่อนอย่างนั้นแหละ แต่ก็นั่นแหละ... ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว อยากฝากเขาดีนัก ตอนนี้เลยถูกฝากบ้าง แต่ละท่านนี่เราไม่มีโอกาสปฏิเสธเลย...โธ่ ๆ ๆ ๆ ...!
๑ ตุลาคม ๒๕๓๕
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
หมายเหตุ : “
หลวงพ่อ” บอกกับอาตมาว่า “
ระวังนะคุณ...ลาพุทธภูมิแล้วกำลังมันจะตก..” ทีแรกอาตมาเองยังนึกค้านท่านในใจว่า ไม่เห็นมันจะตกตรงไหนเลย ความบ้าก็ยังเท่าเดิม สมาธิสมาบัติก็ยังเหมือนเดิม...
มาตอนนี้ต้องเชื่อหลวงพ่อโดยไม่มีข้อแม้ เพราะเพิ่งสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ถ้าเห็นใครลำบากอยู่ ถึงเขาไม่ออกปากก็รีบแถเข้าไปช่วย มาตอนนี้ถ้ามันไม่ล้มทับตีนอยู่ตรงหน้า อย่าหวังเลยว่าจะยื่นมือไปช่วย...! ที่แท้กำลังใจมันลดลง เอาแต่เรื่องเฉพาะหน้าจริง ๆ เท่านั้น...
๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๙
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ