"เด็กรุ่นใหม่ฉาบฉวยขาดความอดทน ต้องการรวยเร็ว ไม่ได้ดูรุ่นเก่าเป็นตัวอย่าง รุ่นปู่ย่าตาทวดของอาตมา หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากเมืองจีน มื้อหน้าจะมีกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ค่อย ๆ อดทนทำงาน เก็บหอมรอมริบทีละบาท ทีละสลึง พอได้เงินมาก้อนหนึ่งก็เริ่มลงทุนทำกิจการ เป็นกิจการเล็ก ๆ ขายโอเลี้ยง ขายกาแฟ ขายน้ำเต้าหู้ สะสมเงินขึ้นไป ลงทุนให้ใหญ่ขึ้น เปิดร้านขายของชำ โบราณเขาใช้คำว่า "สู้แค่หน้าตัก" ก็คือมีเท่าไรทำเท่านั้น ผิดพลาดขึ้นมาก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้เริ่มต้นด้วยการกู้เงิน พลาดขึ้นมาก็มีหนี้ก้อนโต
ที่น่ากลัวกว่านั้น คือเด็กรุ่นใหม่ไม่พยายามศึกษา ขี้เกียจเรียน พอต่อว่าเข้าก็อ้างว่า "มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก กับ สตีฟ จ็อบส์ ไม่เห็นต้องจบปริญญาเลย ก็รวยเป็นหมื่นล้าน" อาตมาถามคืนไปว่า "แล้วมึงชื่ออะไร ? มึงชื่อสตีฟ จ็อบส์ หรือชื่อมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก สองคนนั่นเป็นแค่สองคนในห้าพันกว่าล้านคนในโลกนี้ แค่เม็ดทรายสองเม็ดในมหาสมุทรเท่านั้น แล้วคิดว่ามึงจะประสบความสำเร็จอย่างเขาใช่ไหม ?" เขาเรียกว่าดูตัวอย่างโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-10-2019 เมื่อ 20:38
|