คราวนี้การที่เราจะหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ ก็ต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
และท้ายสุดต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ตายเมื่อไรต้องกำหนดเป้าหมายไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก การเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ขึ้นชื่อว่าภัยธรรมชาตินั้นเป็นแค่ภัยภายนอกเท่านั้น ภัยภายในคือกิเลสใหญ่ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่ามาก เกิดมาเมื่อไรก็ต้องพบกับการชักจูงให้เรากระทำแต่สิ่งที่ไม่ดี แล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ
ดังนั้น..ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพาน เมื่อสามารถรักษาสภาพของจิตใจเราเอาไว้เช่นนี้แล้ว ก็กำหนดภาพพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบขึ้นมา ว่านั่นคือองค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เรานึกถึงพระองค์ท่านได้ เราเห็นพระองค์ท่านได้ แปลว่าเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน แปลว่าเราอยู่บนพระนิพพาน
ในแต่ละวันพยายามที่จะรักษากำลังใจของเราเอาไว้เช่นนี้ ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าหากว่าสามารถกระทำได้บ่อย ๆ จนกระทั่งนึกถึงเมื่อไรก็ทำได้เมื่อนั้น โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะล่วงพ้นจากความทุกข์ ไม่มาเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยทุกข์โทษเวรภัยเช่นนี้ก็จะมีขึ้น ก็จะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไร เราก็จะล่วงพ้นกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2018 เมื่อ 02:25
|