ดูแบบคำตอบเดียว
  #43  
เก่า 08-03-2009, 11:31
วาโยรัตนะ วาโยรัตนะ is offline
สมาชิก VIP - ผู้ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 550
ได้ให้อนุโมทนา: 13,972
ได้รับอนุโมทนา 45,905 ครั้ง ใน 953 โพสต์
วาโยรัตนะ is on a distinguished road
Default

๓. โลภมาก ลาภหาย ความโลภไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งถ้าโลภจนตัวสั่นงันงกแล้ว(อภิชฌาวิสมโลภะ) ยิ่งมองไม่เห็นอรรถไม่เห็นธรรมหรือไม่เห็นความผิดถูกแต่ประการใด คิดแต่จะเอาให้ได้ฝ่ายเดียว
ในอดีต พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์มีภรรยาคนหนึ่งพร้อมธิดา ๓ คน เมื่อธิดาออกเรือนไปไม่นาน พระโพธิสัตว์ก็ทำกาลกิริยาไปเกิดเป็นหงส์ทอง ระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์ คิดจะสงเคราะห์ภรรยา จึงบินมาสลัดขนทองให้ครั้งละหนึ่งขน
ทำให้อดีตภรรยาและธิดาได้เงินทองใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ต่อมา ฝ่ายอดีตภรรยาพูดกับธิดาว่า “ธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานรู้ใจยาก ถ้าเวลาหงส์ทองพ่อของพวกเจ้าไม่มา พวกเราจะลำบาก ทางที่ดีเราจะช่วยกันจับถอนเอาขนทองเสีย”
เมื่อหงส์ทองโพธิสัตว์กลับมา ภรรยาและธิดาต่างก็ช่วยกันจับถอนขนจนหมดสิ้น เมื่อขนขึ้นมาใหม่กลับกลายเป็นขนสีขาวตามปกติ เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากถูลนันนทาภิกษุณีไปขอกระเทียมชาวบ้านเขา เมื่อเจ้าของเขาให้แล้ว ไปถอนเอาของเขาจนหมดแปลง ทำให้ชาวบ้านเขาติเตียนว่าไม่รู้จักประมาณ
พระพุทธเจ้าทรงปรารภเรื่องนี้แแล้วตรัสคาถาว่า
“บุคคลได้สิ่งใด ควรยินดีสิ่งนั้น เพราะความโลภเกินไปเป็นความชั่วแท้ นางพราหมณีจับเอาหงส์ทองถอนขนเสีย จึงเสื่อมจากทอง”
(สุวัณณหังสชาดก ชาดก เรื่องที่ ๑๓๖ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๕๖)

๔. กระต่ายตื่นตูม คนที่ทำอะไรตาม ๆ คนอื่นเขาโดยไม่สืบสาวเรื่องราวให้ถ่องแท้ก่อนนั้น เห็นวิบัติหมดเนื้อหมดตัวมามากแล้ว
ในอดีตกาล เจ้ากระต่ายตัวหนึ่งอาศัยหากินอยู่แถวดงตาลปนป่ามะตูม เมื่อมันหากินแล้ว ก็เข้านอนใต้ใบตาลแห้งซึ่งอยู่ที่โคนต้นมะตูม กำลังนอนคิดเพลินๆ ว่า ถ้าแผ่นดินถล่มจะทำอย่างไร บังเอิญขณะนั้น มะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาบนใบตาลแห้งที่มันนอนอยู่ภายใต้ เสียงดังตูมใหญ่ มันตกใจรีบวิ่งหนีหน้าตั้งโดยไม่คิดจะหันหลังดู พวกเพื่อน ๆ เห็นมันวิ่งมาอย่างนั้นจึงร้องถามว่าวิ่งหนีอะไร มันวิ่งไปบอกไปว่า แผ่นดินถล่ม กระต่ายจำนวนพันได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งตามมันไป สัตว์อื่น ๆ เห็นเข้า ก็ตะโกนถามว่าวิ่งหนีอะไร ได้ยินว่าแผ่นดินถล่ม บรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น หมี ช้าง กวาง แรด เสือ ราชสีห์และสัตว์อื่น ๆ ต่างก็รักตัวกลัวตายไม่มีใครที่จะคิดกลับไปดู สัตว์ทั้งหลายที่เหยียบกันตายนับประมาณไม่ได้ วิ่งกัน
มาฝุ่นตลบกลบปฐพียิ่งกว่าแผ่นดินถล่ม กำลังจะถลันตกหน้าผาลงทะเลพอดี ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์หากินอยู่แถวนั้น เห็นสัตว์ทั้งหลายกำลังจะตกทะเลตาย จึงวิ่งไปยืนสกัดกั้นอยู่ข้างหน้าร้องถามไปว่าพวกท่านหนีอะไรกัน บรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นราชสีห์ยืนคำรามอยู่ข้างหน้าต่างกลัวตาย จึงร้องบอกว่า แผ่นดินถล่ม ราชสีห์ถามว่าใครเห็น ไม่มีใครบอกได้ ต้องไล่เลียงลงไปจนถึงเจ้ากระต่ายตัวต้นเรื่อง ราชสีห์จึงบังคับให้กระต่ายนำไปดูที่เกิดเหตุ กระต่ายไม่ยอมไป ยืนกระต่ายขาเดียว ราชสีห์จึงให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ ตนเองให้กระต่ายตัวนั้นนั่งบนหลังแล้วนำไปดูที่เกิดเหตุ กระต่ายไม่ยอมเข้าไปใกล้ต้นมะตูมได้ร้องบอกว่า ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนั้น แล้วเสียงมันดังตูมขี้น ราชสีห์จึงแสดงลูกมะตูมสุกให้กระต่ายดู แล้วพากระต่ายกลับไปบอกสัตว์ทั้งหลายให้ทราบความจริง พระพุทธจ้าตรัสคาถาว่า
“กระต่ายได้ยินเสียงผลมะตูมสุกหล่นเสียงดังสนั่นก็วิ่งหนีไป ฝูงสัตว์ฟังคำของกระต่ายต่างก็กลัวตัวสั่น พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องอย่างแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขาน ก็พากันตื่นตระหนก เพราะพวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนพวกนักปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบ และเว้นไกลจากความชั่ว ย่อมไม่เชื่อคนง่าย”
(ทุททุภายชาดก ชาดก เรื่องที่ ๓๒๒ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ เล่มที่ ๒๗ หน้า ๑๗๔)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 08-03-2009 เมื่อ 18:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน
นาย หวังดี (27-05-2022), สุธรรม (10-06-2009)