ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 27-08-2010, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,447
ได้ให้อนุโมทนา: 151,085
ได้รับอนุโมทนา 4,399,774 ครั้ง ใน 34,036 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐

อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐


วันนี้เป็นวันพระสิ้นเดือน พวกคุณได้เตรียมรถเอาไว้ไปปาฏิโมกข์กันหรือยัง ? เพราะว่าเดี๋ยวผมต้องเข้ากรุงเทพฯ แวะหลายที่กว่าจะถึง เรื่องของการฟังพระปาฏิโมกข์ เป็นการทวนศีลของเรา ความจริงเราทวนเองก็ได้

แต่ว่าการไปฟังปาฏิโมกข์นั้น อันดับแรก เป็นความสามัคคีในหมู่คณะ อันดับที่สอง ได้ทวนศีลของตัวเอง อันดับที่สาม เมื่อรู้ว่าตนเองมีข้อบกพร่องที่ไหน ก็จะแสดงคืนอาบัติตรงจุดนั้น เรื่องของการฟังพระปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าท่านให้ความสำคัญที่สุด

พระมหากัปปินเถระ* ท่านเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน ท่านนี้สุดยอดในความเลื่อมใสพระพุทธเจ้า พอท่านทราบว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็สละราชสมบัติเลย ทิ้งอย่างชนิดไม่ใยดี ขี่ม้าตรงไปที่ ๆ มั่นใจว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่

ปรากฏว่าไปเจอแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า ท่านตั้งใจว่า ในเมื่อคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอยู่อย่างแท้จริงในโลก ท่านเองต้องการที่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ในเมื่อแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า ท่านก็จะขอผ่านไปด้วยพุทธานุภาพนี้แหละ

ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ข่าวว่ามีอยู่นั้น เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ก็ขออย่าให้น้ำนั้นเปียกแม้แต่ข้อเท้าม้าเลย แล้วท่านก็ขี่ม้าผ่านน้ำไปได้จริง ๆ

ท่านบวชไม่นานก็เป็นพระอรหันต์ มีอยู่วันหนึ่ง ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ในป่า คุณจะสังเกตว่าพระอรหันต์ท่านยังไม่ทิ้งกิจวัตร ในเรื่องของทาน ของศีล ของภาวนา ท่านยังทำอยู่เป็นปรกติ เพื่อความอยู่สุขในปัจจุบันตอนนั้น เพื่อเป็นความไม่ประมาท จะได้ทบทวนอยู่เสมอว่า ตอนนี้จิตมีความชั่วแทรกเข้ามาได้หรือเปล่า ?

ท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ปรากฏว่าเห็นพระจันทร์เต็มดวง ขอให้จำไว้แม่น ๆ ว่าวันที่พระจันทร์เต็มดวงจริง ๆ นั้น พระจันทร์จะขึ้นก่อนพระอาทิตย์ตก พอท่านเห็นว่าพระจันทร์เต็มดวง ท่านก็นึกได้ว่า วันนี้เป็นวันปาฏิโมกข์ แล้วท่านก็คิดว่า

“เออ..เราอยู่ในป่า อยู่ไกล การไปฟังพระปาฏิโมกข์ เท่ากับเป็นการทวนศีลของตัวเอง แต่ว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องไปก็น่าจะได้”


พระพุทธเจ้าอยู่ที่พระคันธกุฎี ในพระเชตวันมหาวิหารโน่น ทรงทราบความคิดนี้จึงเปล่งฉัพพรรณรังสีไปปรากฏเฉพาะหน้า เหมือนกับพระองค์ไปเอง ตรัสว่า “ดูก่อน..กัปปินะ ถ้าหากว่าภิกษุทุกรูปคิดอย่างเธอ ศาสนานี้จะตั้งอยู่ไม่ได้”

นั่นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ยอมผ่อนปรนให้เลย เพราะว่าทุกอย่างถ้าหากว่าขันให้ตึงไว้ ถ้าผ่อนก็จะพอดี แต่ถ้าขืนปล่อยให้หย่อน ผ่อนเมื่อไรก็จะยาน แล้วเราจะเอาดีไม่ได้


หมายเหตุ :
*
พระสุตตันตปิฎก : อังคุตตรนิกาย : เอกนิบาต - ทุกนิบาต - ติกนิบาต : เอตทัคคะปาลิ : เอตทัคควรรค : วรรคที่ ๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2010 เมื่อ 02:36
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา