ค่อย ๆ ทำไป บางอย่างหลักการถูก แต่คนเอามาทำผิด จุดที่ผมเป็นห่วงที่สุด ก็คือ ญาณ ๑๖ ปัจจุบันต้องเข้าถึงสภาวะนั้นจริง แค่นามรูปปริจเฉทญาณจะแยกรูปนามออกจากกันอย่างชัดเจนเลย เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ในเมื่อต้องแยกกันชัดเจนขนาดนี้ พอเราไปส่งสภาวะให้ครูฝึก มีอะไรเฉี่ยวนิดหนึ่งเขาบอกว่าเราได้แล้ว ก็บรรลัยสิครับ เพราะยังไม่ได้จริงนี่ครับ
ผมเป็นห่วงตรงนี้ว่า นานไป ๆ ถ้าครูฝึกเข้าใจผิดต่อไปเรื่อย ๆ แล้วตรงนี้จะเละไม่เป็นท่าเลย จะทำให้คนหลงว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าไปมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วยังไม่ได้เข้าถึง เป็นเรื่องอันตรายมาก ระมัดระวังตรงนี้ไว้นิดหนึ่ง
ถาม : แสดงว่าตรงนั้นคือกำลังสมาธิเฉย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บางทีเหมือนกับตอนเราไปส่งอารมณ์แล้วไปพูดตรงกับตรงนั้นนิดเดียว ครูฝึกก็ไปฟันธงว่าใช่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วนามรูปปริจเฉทญาณเป็นทั้งสมาธิและปัญญารวมกัน ถ้าสมมติว่าเรามองไป แล้วไปคิดว่านี่เป็นผู้หญิงก็เสร็จเลย เพราะนี่คือใจเราปรุงแต่งแล้ว แต่ถ้าเราสักเห็นว่าเป็นรูป สักเห็นว่าเป็นธาตุ จิตใจไม่ปรุงแต่งต่อ อันตรายจะไม่เกิดกับเรา นั่นจึงเป็นการแยกรูปแยกนามที่แท้จริง ถ้าเราไปเห็นเป็นผู้หญิง เดี๋ยวคิดต่อแล้ว สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ จะกระจายกว้างไปเรื่อยแล้วราคะก็เกิด
ถาม : ตอนที่เห็นสักแต่ว่าเป็นรูป ก็มีส่วนของสมาธิปนเหมือนกันหรือครับ ?
ตอบ : ต้องทั้งสองอย่างรวมกัน สติต้องรู้เท่าทัน แล้วสติต้องอาศัยสมาธิช่วยมาก จึงจะหยุดการปรุงแต่งได้ทัน
ถาม : แต่นามรูปปริจเฉทญาณจะต้องวางให้ได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ เขาถึงจะเรียกนามรูปปริจเฉทญาณ ?
ตอบ : ของเขาได้นิดเดียวเขาก็เอาแล้ว ฉะนั้น...ไปฝึกสายโน้นเถอะ ได้ง่ายดี ...(หัวเราะ)...
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2015 เมื่อ 15:05
|