เพราะฉะนั้น..ของพวกนี้ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังที่สุด การทดสอบแต่ละอย่างมาเนียนมาก ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากจะบอกว่า ความชั่วกับความดีขี่คอกันมา หน้าตาเหมือนเราเปี๊ยบเลย สำคัญอยู่ก้าวสุดท้ายเท่านั้น ว่าอันหนึ่งพาขึ้น อันหนึ่งพาลง เราจึงต้องมีศีลเป็นกรอบ ถ้าหลุดจากกรอบของศีลหรือกรรมบถ ๑๐ เราไม่ไปด้วย อย่างไรก็ไม่หลงไกลเกิน แต่ถ้าหลุดแล้วยังไปตามก็ไกลไปเรื่อย
ช่วงนั้นเขาก็โดนหลอกให้ไปหาวัตถุชิ้นนั้นชิ้นนี้ มีพลังงานอย่างนั้นอย่างนี้ เอามาพกไว้เต็มไปหมด จนกระทั่งตอนจะเอาเขาเข้าโรงพยาบาลก็ยังเถียงอีกว่าเราไม่รู้จริง ไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีพลัง พอดีพระครูปลัดปรีชาอยู่ด้วย เขย่าตัวถามว่า “พระอยู่ที่ไหน ? เอาพระไปไว้ไหนหมด ? ตอนนี้ไปเอาอะไรมาพกเสียเต็มไปหมด ?” ขนาดนั้นก็ยังไม่ได้สตินะ เขาหลอกได้ไกลขนาดนั้น เพราะว่าตัวเองรู้เองก็มั่นใจว่าใช่
อย่าลืมว่าแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์เขาก็ยอมรับว่าสสารทุกอย่าง แกนกลางคือพลังงาน เพราะฉะนั้น..คุณจะหยิบจะจับอะไรมามีพลังทั้งนั้น แต่ตอนนั้นเขาจะโดนเน้นว่า ชนิดนี้มีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนั้น ชนิดนั้นมีพลังเป็นพิเศษช่วยเรื่องนี้ แล้วก็เที่ยวไปไล่หา เวลาที่จะปฏิบัติก็ไม่มี นั่นขนาดเพื่อนพระจับตัวเขย่าถามเลยนะ ว่าพระอยู่ที่ไหน เอาไปทิ้งไว้ไหนหมด เอาแต่ของพวกนี้มา เขาก็ยังไม่รู้ตัว
ท้ายสุดก็เลยต้องส่งเข้าโรงพยาบาลให้หมอจัดการ แต่ก็อย่างว่าแหละ หมอทำอะไรไม่ได้ ขนาดย้ำกับหมอแล้วว่าระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรเขาหนีแน่ หมอก็หัวเราะ “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้เก่งกว่าหมอเลยครับ ประตูตั้ง ๔ ชั้นแล้วรั้วสูง ๖ เมตร ดูว่าเขาจะไปอย่างไร” ปรากฏว่าไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ไปแล้ว
ก็เขาไม่ต้องไปอย่างนั้น อยากเดินออกรูไหนก็ไป เขาอยู่กับวัดขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ พี่น้องพังประตูโบสถ์เข้าไป เขาเดินทะลุออกข้างฝาเฉยเลย แล้วใครจะไปทำอะไรเขาได้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2013 เมื่อ 14:35
|