เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙
ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ เมื่อครู่นี้ที่มีผู้ถามว่า เวลาปฏิบัติธรรมระยะหลัง ๆ เหมือนกับบังคับลมหายใจตนเอง ซึ่งลักษณะอย่างนั้นต้องไปศึกษาว่า การเข้าถึงสมาธิแต่ละขั้นตอนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วก็เทียบวัดกับอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นกับตนเอง เราก็จะได้รู้ว่า การที่สมาธิของเราเริ่มละเอียดขึ้น แนบแน่นขึ้น ลมหายใจก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเองโดยอัตโนมัติ จนกระทั่งถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็จะคิดว่าเป็นการบังคับลมหายใจเข้าออก
อัปปนาสมาธิ คือ กำลังใจขั้นต้นของเรา ได้แก่ ปฐมฌานนั้น ประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคตารมณ์ คำว่า "วิตก" นั้นก็คือคิดอยู่ว่าเราจะภาวนา วิจารนั้นก็คือรู้อยู่ว่าตอนนี้เราดูลมหายใจเข้าออกอยู่ ลมหายใจจะแรง จะเบา จะยาว จะสั้น คำภาวนาว่าอย่างไร เราจะรู้พร้อมในขั้นตอนนี้
ถ้าอารมณ์ใจสามารถทรงตัว ต่อไปก็จะเกิดปีติ ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ได้แก่ ขณิกาปีติ ก็คือรู้สึกว่าขนลุกเป็นพัก ๆ บางทีก็ไหวซู่ซ่าไปทั้งตัว บางทีก็รู้สึกคันยิบ ๆ ตามตัว เพราะว่าขนลุกเป็นบางส่วน หรือบางท่านก็จะพบกับขุททกาปีติ คือมีน้ำตาไหล อยู่ ๆ ก็รู้สึกน้ำตาไหลพราก ๆ เหมือนอย่างกับบังคับไม่ได้ แต่ความจริงจะบังคับให้หยุดก็ได้ แต่ถ้าอารมณ์ใจเข้าไปถึงตรงนั้นอีก น้ำตาก็ไหลอีก บางท่านก็พบกับโอกกันติกาปีติ ก็คือร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนผีเจ้าเข้าสิงไปเลยก็มี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2016 เมื่อ 11:55
|